[รีวิว] The Unforgivable : ดราม่าหนัก ๆ แต่แอบหักมุม
Our score
7.3

[รีวิว] The Unforgivable : ดราม่าหนัก ๆ แต่แอบหักมุม

จุดเด่น

  1. ตั้งใจดูหนังดราม่าขายการแสดง แต่ก็ผิดคาดหนังมีความระทึกและหักมุมในช่วงท้าย
  2. ได้ดูแซนดร้า บูลล็อก โชว์ความสามารถในการแสดงอีกครั้ง
  3. นักแสดงสมทบระดับคุณภาพ

จุดสังเกต

  1. ช่วงต้นเจอการตัดสลับไปมา 3 เหตุการณ์แบบถี่ ๆ ก็ชวนหงุดหงิดเล็กน้อย
  2. แซนดร้า บูลล็อก อยู่ในวัยที่เกินอายุตัวละครไปมาก
  • คุณภาพงานสร้าง

    6.0

  • ตรรกะความสมเหตุสมผลของบท

    7.0

  • คุณภาพนักแสดง

    8.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.0

  • คุ้มค่าเวลาในการรับชม

    8.0

นี่คือผลงานล่าสุดของ แซนดร้า บูลล็อก (Sandra Bullock) เว้นช่วงจาก Bird Box ผลงานเรื่องก่อนหน้าที่สตรีมมิงทาง Netflix เช่นกันเมื่อปี 2018 และเป็นหนังที่สร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนผู้รับชมพ้นหลัก 45 ล้านภายใน 7 วัน แต่เมื่อบูลล็อกกลับมาครั้งนี้กลับมาแบบเงียบ ๆ ไม่มีการโปรโมตใด ๆ จากทาง Netflix เลย อาจจะด้วยเหตุที่ว่ารอบนี้เธอมาในแบบดราม่าเนื้อหาหนัก ๆ อาจจะขายยากอยู่สักหน่อย

The Unforgivable ดัดแปลงมาจาก Unforgiven มินิซีรีส์ 3 ตอนจบของอังกฤษเมื่อปี 2009 แล้ว เกรแฮม คิง (Graham King) ผู้อำนวยการสร้างก็ซื้อสิทธิ์มารีเมกในเวอร์ชันอเมริกันตั้งแต่ปี 2010 หมายมั่นให้ แองเจลีนา โจลี (Angelina Jolie) มารับบทนำ ถึงขนาดกำชับให้ผู้เขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลงบทให้เหมาะสมกับเธอ แต่โจลี่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับโปรเจกต์นี้แต่อย่างใด ผ่านไป 9 ปี โปรเจกต์นี้เปลี่ยนมือผู้กำกับและนักแสดงนำมากมาย จนมาลงเอยเป็น แซนดร้า บูลล็อก ในปี 2019 และได้ นอรา ฟิงไชดต์ (Nora Fingscheidt) ผู้กำกับหญิงที่สร้างชื่อมาจาก Systemsprenger ผลงานก่อนหน้าของเธอที่กวาดรางวัลมามากมาย

หนังเล่าเรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่ รูธ สเลเตอร์ ก้าวออกจากเรือนจำ หลังถูกจองจำมา 20 ปี ในข้อหาสังหารนายอำเภอด้วยปืนลูกซอง จากเหตุการชุลมุนที่บ้านของเธอ สืบเนื่องจากเหตุที่แม่ของเธอเสียชีวิตในขณะที่คลอดแคธี่ น้องสาวของเธอ พ่อของรูธมีปัญหาหนี้สินรุงรัง นำบ้านไปจำนองแล้วไม่สามารถผ่อนจ่ายได้ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย รูธที่ต้องดูแลน้องสาวตัวน้อยวัย 5 ขวบ และยังไม่สามารถหางานทำเพื่อผ่อนจ่ายบ้านได้ ธนาคารจึงส่งเจ้าหน้าที่มาขับไล่พี่น้องคู่นี้ออกจากบ้าน โดยมีนายอำเภอมาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย เธอประกาศกร้าวว่าเธอมีปืน ใครอย่าได้ย่างกรายเข้ามาในบ้านของเธอ แต่นายอำเภอที่เป็นคนพื้นที่คุ้นเคยบ้านนี้จึงแอบเข้าทางห้องใต้ดิน ผลก็คือนายอำเภอถูกยิงด้วยปืนลูกซองตายคาที่

หนังเล่าเรื่องตัดสลับไปหาหลายเหตุการณ์ ทั้งอดีตและปัจจุบัน โดยสอดแทรกเรื่องราวของแคธี่ที่ไปมีชีวิตที่อบอุ่นกับครอบครัวใหม่ที่มีพ่อแม่และเอมิลี่น้องสาวที่รักเธอเหมือนพี่สาวจริง ๆ หนังใช้วิธีตัดสลับไปมาแบบนี้แทบทั้งเรื่อง ปล่อยให้สมองคนดูทำหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ว่าใครเป็นใครเกี่ยวข้องกันอย่างไร หนังมาในบรรยากาศดราม่าหนักหนาสุด ๆ ด้วยภาพลักษณ์ของบูลล็อกที่มาแบบซีเรียสจริงจัง หน้าตาแบบสาวบ้าน ๆ อมทุกข์ไร้รอยยิ้ม เป็นพี่สาวที่ระทมทุกข์มาตลอด 20 ปีกับความคิดถึงและเป็นห่วงน้องสาว ที่เธอเลี้ยงมาเหมือนลูกตัวเองและไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไร ทำให้เราเข้าใจได้ว่าจากนี้นี่คือเรื่องราวของพี่สาวที่ตามหาน้องสาว จนกระทั่งหนังเริ่มแนะนำตัว สตีฟ และ คีธ วีแลน สองพี่น้องที่เป็นลูกของนายอำเภอ ที่โตมาในฐานะเด็กกำพร้าพ่อ เลยผูกพยาบาทกับรูธและต้องการล้างแค้นเธอ จุดนี้ล่ะที่ทำให้หนังมีดีกรีความดุเดือดเข้มข้น ชวนติดตามมากขึ้น

วินเซนต์ ดีโอโนฟริโอ และไวโอลา เดวิส ในบทสมทบ

ช่วงกลางของหนังออกจะแผ่วลงเล็กน้อย กับการลงลึกชีวิตของรูธ ที่ต้องเผชิญวิบากกรมต่าง ๆ นานาในฐานะอดีตนักโทษคดีฆาตกรรม ที่ต้องอยู่ร่วมสังคมที่ไม่ยินดีต้อนรับเธอนัก บางช่วงบางตอนก็ดึงความรู้สึกร่วมให้เราเห็นใจเธอไปด้วย มีบางฉากที่เธอต้องแสดงอารมณ์ขณะอยู่คนเดียว และมีทั้งฉากปะทะอารมณ์กับนักแสดงร่วม เรียกได้ว่าบท รูธ สเลเตอร์ เป็นงานที่เปิดโอกาสให้บูลล็อกในวัย 57 ปี ได้ตอกย้ำว่าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงที่เธอได้มานั้น ไม่ใช่โชคช่วยแต่ได้มาเพราะฝีมือเธอจริง ๆ ก็ขอยินดีชื่นชมไปกับเธอด้วยจริง ๆ ที่เป็นนักแสดงหญิงเพียงส่วนน้อยที่ไม่โดนอาถรรพ์ออสการ์ เพราะหลังจาก Blind Side (2009) เป็นต้นมาเธอก็มีงานแสดงต่อเนื่องมาตลอด และหลายเรื่องก็ยังคงประสบความสำเร็จทางด้านรายได้

ต้องบอกว่า The Unforgivable ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดราม่าขายการแสดงของบูลล็อกเท่านั้น อย่างที่หน้าหนังเหมือนจะสื่อไปทางนั้น แต่บทหนังก็ยังมีทีเด็ด ทั้งในเรื่องไคลแมกซ์ที่สุดตึงเครียดในช่วง 15 นาทีท้ายของหนัง ที่ทำเอานั่งไม่ติดต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยให้รูธผ่านพ้นวิกฤตร้าย ๆ ไปได้ หลังจากที่เราต้องเห็นเธอเผชิญเรื่องราวหนักหนาสาหัสมาเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว ไม่แค่นั้นหนังยังเผยความลับที่เธอซุกซ่อนไว้ตลอด 20 ปี และเป็นบทเฉลยที่ชวนอึ้งพอควร ซ้ำยังยิ่งตอกย้ำให้คนดูเห็นใจรูธมากขึ้นกว่าเดิม ชวนให้หายสงสัยได้ว่า ทำไมตลอดเรื่องหนังถึงตัดสลับฉากแฟลชแบ็ก แบบเผยรายละเอียดทีละนิด ทีละนิด ทำไมไม่เล่าซะทีเดียวให้จบ ๆ ไป ทำเอาชวนหงุดหงิดไปด้วย นั่นก็เพราะมันมีความลับที่เป็นจุดพีกของเรื่องซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นี้นี่เอง แล้วมาเฉลยกันใน 5 นาทีสุดท้ายเลย

จอน เบิร์นธัล

ตอนที่อ่านเจอว่าเกรแฮม คิง อยากได้แองเจลินา โจลี่ มารับบทเป็น รูธ สเลเตอร์ นั้น ก็เห็นชอบด้วยนะ เพราะว่าตามบทแล้วนั้นรูธอายุแค่ 40 ปี ตอนที่ถ่ายทำเรื่องนี้ โจลี่อายุ 43 ปี ใกล้เคียงกับบทรูธมากกว่า ในขณะที่บูลล็อกนั้นแก่กว่าบทรูธไปสิบกว่าปีเลย แต่อีกด้านหนึ่งนั้น บูลล็อกก็สามารถเข้าถึงตัวตนของรูธได้ลึกซึ้งกว่า ด้วยเนื้อหาว่าด้วยพี่สาวที่รักและผูกพันกับน้องสาวอย่างมาก เพราะตัวบูลล็อกนั้นเธอใกล้ชิดกับน้องสาวตัวเองอย่างมาก เจซิน บูลล็อก-พราโด (Gesine Bullock-Prado) ซึ่งทุกวันนี้พี่น้องคู่นี้ยังอยู่บ้านเดียวกันอยู่เลย ก็น่าจะช่วยให้บูลล็อกถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของรูธ สเลเตอร์ ได้ดีกว่า

นอกจากหนังจะขายชื่อ แซนดร้า บูลล็อกแล้ว หนังยังอัดแน่นไปด้วยนักแสดงมากฝีมือหลายคนทั้ง วินเซนต์ ดีโอโนฟริโอ (Vincent D’ononfrio) ที่พลิกบทบาทมาเล่นบทคนดีแบบสุด ๆ, ไวโอลา เดวิส (Viola Davis) ที่มีเวลาบนจอเพียงแค่ไม่กี่นาที และ จอน เบิร์นธัล (Jon Bernthal) ที่มาในลุคหนวเฟิ้มจนแทบจำไม่ได้ หนังไม่ค่อยถูกใจนักวิจารณ์นัก ได้คะแนนมะเขือเน่าใน rottentomatoes ไปที่ 40% แต่คะแนนคนดูกลับตรงกันข้ามวิ่งไปที่ 82% เรื่องนี้ผู้เขียนขออยู่ฝั่งคนดูครับ