Release Date
16/12/2021
Runtime
107 Minutes
Director
Tom McGrath
Cast
Alec Baldwin James Marsden Jeff Goldblum
Our score
6.1[รีวิว] The Boss Baby : Family Business – น่ารักไปเรื่อย (หัวเราะ) จนเมื่อยกราม
จุดเด่น
- ยอมรับว่าหนังตลกจริง ดูแล้วคลายเครียดแน่นอน
- คาแรกเตอร์น่ารัก ดูแล้วอมยิ้มตาม
- เพลงเพราะมาก แม้จะมีเพลงเดียวแต่ก็คุ้มค่าและทำให้แอนิเมชันภาคต่อที่บทหลวมโพรกเรื่องนี้มีอะไรน่าจดจำอยู่บ้าง
จุดสังเกต
- บทอีรุงตุงนังไปหมด
- หลายมุกไม่เหมาะกับเด็กนัก
-
บทหนังอีรุงตุงนัง ปมเยอะไปหมด
5.0
-
ภาพสวย สีสันสดใส เป็นแอนิเมชันที่ตื่นตาตื่นใจ แต่ยังไม่ถึงกับยอดเยี่ยม
7.0
-
เสียงพากย์ดีทำให้หนังดูสนุก
6.5
-
เทียบความประทับใจในฐานะหนังแอนิเมชันเน้นตลก
6.5
-
ตีตั๋วดูในโรงก็คุ้มอยู่ แต่พลาดก็ไม่ถึงกับเสียดาย
5.5
หากจะว่าถึงคุณสมบัติข้อหนึ่งของแอนิเมชันที่มีเหนือหนังคนแสดงคงหนีไม่พ้นการที่มันได้รับอนุญาตให้ทลายขอบเขตความเป็นไปได้หลาย ๆ อย่างในโลกความเป็นจริง และหนังอย่าง ‘The Boss Baby’ เมื่อปี 2017 ก็ใช้ประโยชน์ของความเป๋็นแอนิเมชันเล่าเรื่องของเท็ด (พากย์เสียงโดย อเล็ค บาล์ดวิน Alec Baldwin) สายลับในรูปแบบเบบี๋สุดน่ารักที่มาเรียนรู้ความหมายของครอบครัวจากพี่ชายจินตนาการบรรเจิดอย่าง ทิม (ให้เสียงพากย์โดย ไมล์ส แบคชี Miles Bakshi) จนทั้งคู่ได้เรียนรู้ถึงความหมายและความอบอุ่นของการเป็นพี่น้อง แถมตอนท้ายเรื่องยังได้ โทบี แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) มาให้เสียงทิมตอนโตอีกด้วย
และแม้หนังจะไม่ได้โดดเด่นในแง่คำวิจารณ์มากมายแต่อย่างน้อยการที่มันทำเงินเกิน 500 ล้านเหรียญทั่วโลกและสามารถผ่านด่านเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยมก็ทำให้มันมีศักยภาพพอที่จะมีภาคต่อจนทำให้เกิดหนัง ‘The Boss Baby : Family Business’ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้นั่นเอง
สำหรับหนังภาคนี้จะเริ่มเรื่องราวเมื่อ ทิม (พากย์โดย เจมส์ มาร์สเดน James Marsden) กลายเป็นคุณพ่อแสนดีของลูกสาว 2 คน แต่แล้วเขาก็ได้พบความจริงว่าทีนา (พากย์โดย เอมี ซีดาริส Amy Sedaris) ลูกสาวเบบี๋ของเขาเป็นสายลับให้เบบี้คอร์ปส์ (Baby Corps) และต้องการให้เขากับเท็ด (พากย์โดย อเล็ค บาล์ดวิน) น้องชายที่ห่างเหิินมารวมทีมเพื่อตามสืบแผนชั่วของ ดร.อาร์มสตรอง (เจฟฟ์ โกลด์บลัม Jeff Goldblum) ผอ.โรงเรียนที่ ทาบิธา (พากย์โดย อาเรียนา กรีนแบลตท์ Ariana Greenblatt) ลูกสาวคนโตของเขาเรียนอยู่ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
สำหรับบทหนังภาคนี้ยังคงได้ ไมเคิล แม็กคัลเลอร์ส (Michael McCullers) มาดัดแปลงบทจากหนังสือของ มาร์ลา ฟราซี (Marla Frazee) และเติมเรื่องราวจากไอเดียของ ทอม แม็คกราธ (Tom McGrath) ผู้กำกับต้องการบอกเล่าซึ่งหากมองที่บทอย่างเดียวก็คงต้องบอกว่าพอเป็นหนังภาคต่อและตั้งโจทย์ให้มันใหญ่ขึ้น ทุกอย่างเลยถูกอัดเข้ามาเยอะเกินไปทั้งปมเรื่องพี่น้อง ปมเรื่องลูกสาววัยรุ่น และไหนจะเล่าถึงโลกของเบบี้คอร์ปส์และแผนร้ายของ ดร.อาร์มสตรองอีก ผลลัพธ์ของมันเลยทำให้นี่เป็นแอนิเมชันที่เรื่องราวอีรุงตุงนังสุด ๆ จนปมทั้งหลายไม่ค่อยส่งผลในเชิงดราม่าหรือเรียกความซาบซึ้งให้แก่หนังสักเท่าไหร่
แต่กระนั้นสิ่งที่มาแทนที่คงหนีไม่พ้นบรรดามุกตลกที่มาสร้างสีสันนี่แหละ แม้ว่าหลายมุกจะหมิ่นเหม่จนเกือบเป็นมุกสำหรับผู้ใหญ่เช่นตอนเท็ดเอาแครอตมาคาบแล้วให้ลูกม้าดูดปากแล้วลามไปทั้งหัวที่ดูแล้วน่าเกลียดมากกว่าน่ารักไปหน่อยแต่ก็ยังถือว่าเรียกเสียงฮาได้ไม่ฝืดนัก ไปจนถึงบรรดาสีสันของคาแรกเตอร์แปลก ๆ ทั้งเบบี๋นินจาที่ดูว่องไวสร้างความตื่นเต้นดี หรือแม้กระทั่งการล้อเลียนห้องเรียนสร้างเด็กอัจฉริยะกับห้องเลี้ยงเด็กอ่อนที่ล้อเลียนระบบการศึกษาและสถานเดย์แคร์ได้อย่างเจ็บแสบก็ล้วนสร้างความบันเทิงให้คนดูอย่างเต็มที่
ไปจนถึงคาแรกเตอร์ใหม่ที่หนังสร้างมาเพื่อภาคต่อภาคนี้ทั้ง ดร.อาร์มสตรอง ที่ได้เจฟฟ์ โกลด์บลัม มาพากย์เสียงตัวร้ายที่ทั้งกวนและมีเสน่ห์ ไปจนถึงตัวละครเบบี๋คนใหม่อย่างทีน่า ที่ได้เอมี ซีดาริส จากซีรีส์ ‘Unbreakable Kimmy Schmidt’ มาพากย์เสียงทารกสาวได้อย่างมีสีสันทั้งน่ารักและกวนสุด ๆ แถมได้บรรยากาศสุดเวียร์ดแบบทารกแต่เสียงผู้ใหญ่เหมือนตัวละครเท็ดในหนังภาคแรกได้เป็นอย่างดี รวมถึงได้ฟังเสียงร้องสุดไพเราะของ อาเรียนา กรีนแบลตท์ ที่มาพากย์เป็นทาบิธา จนทำให้แอนิเมชันภาคต่อเรื่องนี้มีอะไรน่าจดจำมากกว่าแค่ความตลกและการขายความน่ารักของเบบี๋ไปเรื่อย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส