Release Date
27/01/2022
Runtime
107 Minutes
Director
Johannes Roberts
Cast
Kaya Scodelario Robbie Amell Hannah John-Kamen
Our score
5.4[รีวิว] Resident Evil Welcome to Raccoon City – งานแฟนเมดฉบับฉายโรง
จุดเด่น
- นำจุดเด่นจากเกมมาเซอร์วิสแฟน ๆ ได้ดี
- มีฉากสยองขวัญบางฉากที่ทำให้ลุ้นตามได้
จุดสังเกต
- บทหนังช่องโหว่เพียบ
- งานสร้างโดยเฉพาะส่วนที่เป็นซีจี มีส่วนที่ไม่แนบเนียนอย่างไม่น่าให้อภัยเยอะเกินไป
- ตัวละครไร้มิติมาก จนนักแสดงดาวรุ่งก็ยังไม่ช่วยให้หนังน่าดูขึ้นแต่อย่างใด
-
พอยัดเนื้อหาเกม 2 ภาคแรกเลยทำให้เนื้อเรื่องสับสนและบทก็เต็มไปด้วยช่องโหว่
5.0
-
งานสร้างยังไม่เนี้ยบมากเพราะยังคงใช้ทุนสร้างต่ำ
5.0
-
นักแสดงต้องมาเล่นบทที่ขาดมิติและไม่มีโอกาสได้ฉายเสน่ห์เท่าที่ควร
5.0
-
สิ่งที่ยังพอทดแทนได้คืออารมณ์ลุ้นระทึกจากสถานการณ์กดดันและการสร้างบรรยากาศน่ากลัว
6.0
-
เป็นหนังที่ถ้าไม่ดูในโรงก็จะกลายเป็นหนังธรรมดา แต่พอดูในโรงหนังช่วยให้หนังดูสนุกมากขึ้น
6.0
หลังประกาศปิดตำนานแฟรนไชส์ ‘Resident Evil’ ไปกับภาค ‘Resident Evil The Final Chapter’ เมื่อปี 2016 คงไม่มีใครทันนึกได้ถึงวลีที่ว่า “ปิดตำนานก็คือยังทำต่ออยู่” เพราะด้วยตัวเลขรายได้มหาศาลที่แฟรนไชส์ทำเงินแบบไม่สนคำวิจารณ์ที่ต่ำเตี้ยลงทุกภาคก็มีส่วนทำให้โซนี พิคเจอร์ส (Sony Pictures) ตัดสินใจรีบูตหนังขึ้นมาใหม่ด้วยการนำเรื่องราวของเกมภาค 1 และ 2 รวมถึงการนำตัวละครจากเกมที่ยังอยู่ในใจแฟน ๆ มาขึ้นจอโดยพยายามคงบรรยากาศของเกมต้นฉบับให้มากที่สุด
หนังเริ่มเรื่องด้วยการแนะนำให้เราได้รู้จักกับคริสและแคลร์ เรดฟิล์ดพี่น้องที่ต้องอาศัยในบ้านเด็กกำพร้าเมืองแร็กคูนซิตี้ได้พบเหตุการณ์แปลกประหลาดบางอย่างและด้วยเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้แคลร์ต้องหนีออกจากแร็กคูนซิตี้ ก่อนที่เหตุการณ์จะตัดไปในปี 1998 ที่แคลร์ (รับบทโดย คายา สโคเดลาริโอ Kaya Scodelario) ได้โบกรถกลับมายังแร็กคูนซิตี้ ระหว่างทางนั้นเองที่รถบรรทุกที่เธอขอโดยสารชนเข้ากับหญิงสาวรายหนึ่งอย่างจังแต่พอลงไปดูก็พบว่าบนท้องถนนกลับว่างเปล่า
และเมื่อมาถึงเมืองแร็กคูนซิตี้เราก็พบว่าแท้จริงแล้ว แคลร์ได้เดินทางกลับมาหาคริส (รับบทโดย รอบบี เอเมล Robbie Amell) พี่ชายนายตำรวจของเธอเพื่อนำความจริงเรื่องอัมเบรลลา คอร์เพอเรชัน (Umbrella Corporation) แอบปนเปื้อนสารพิษในน้ำประปาของประชาชนจนเป็นสาเหตุของโรคระบาดบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอสุรกาย
แต่ก็เหมือนคริสจะไม่สนใจและเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพื่อสมทบกับ จิล วาเลนไทน์ (รับบทโดย ฮันนาห์ จอห์น คาเมน Hannah John-Kamen) ตำรวจสาวห้าวที่เขาแอบมีใจให้ แต่วาเลนไทน์กลับมีใจให้เพียงแค่ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ (รับบทโดยทอม ฮอปเพอร์ Tom Hopper) ตำรวจหนุ่มล่ำสุดขรึม และยังมี ลีออน เอส เคนเนดี (รับบทโดย เอวาน โจเกีย Avan Jogia) ตำรวจหน้าใหม่ที่ต้องมารับมือกับสถานการณ์นรกแตกในแร็กคูนซิตี และเป็นแคลร์ เรดฟิล์ดที่อาจไขความลับอันดำมืดด้วยอดีตอันโหดร้ายก่อนที่พวกเขาจะต้องหนีตายจากการล้างบางเมืองต้องคำสาปอย่างแร็กคูนซิตี้แห่งนี้
ความจริงแล้วด้วยชื่อของ โยฮันเนส โรเบิร์ตส์ (Johannes Roberts) ไม่ใช่ชื่อที่ขี้เหร่เลยนะสำหรับการมาสานต่อตำนานบทใหม่ของ ‘ผีชีวะ’ คราวนี้และการที่โรเบิร์ตส์ลงมือจรดปากกาเขียนบทเองเหมือนทุกครั้งอย่างน้อยก็มั่นใจว่าเราจะได้เห็นซีนซอมบี้ผีดิบน่ากลัว ๆ หรือลุ้นจนอกแทบตายคล้าย ๆ กับงานสร้างชื่ออย่างหนังเชือดโคตรระทึก ‘Strangers Prey at Night’ หรือหนังฉลามสุดกดดันอย่าง ’47 Meters Down’ ซึ่งผลลัพธ์ก็ต้องยอมรับล่ะว่าการพยายามกลับไปหาเนื้อเรื่องเกมต้นฉบับและอิงรายละเอียดจากเกมฉบับรีเมกช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูน่ากลัวขึ้นมาได้จริง ๆ
แต่ทุกอย่างก็ค่อย ๆ พังครืนด้วยการที่โรเบิร์ตส์พยายามยัดทุกอย่างเพื่อเอาใจแฟนเกมลงในหนัง ลำพังแค่ฉากที่แคลร์เจอศพแอบวิ่งหนีเธอก็ชวนส่ายหัวจนอยากหาพารามาบรรเทาอาการจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งหนังเดินเรื่องไปเราก็พบว่ามันพยายามผูกปมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งปมการหนีออกจากแร็กคูนซิตี้จากแคลร์ หรือการที่คริสเองถูกเลี้ยงมาโดย วิลเลียม เบอร์กิน (รับบทโดย นีล แมคโดนาฟ Neal McDonough) นักวิทยาศาสตร์ที่เคยเกือบพรากชีวิตแคลร์ในวัยเด็ก ไปจนถึงปมสุดอีรุงตุงนังที่หนังไม่สนใจจะคลี่คลายมันสักเท่าไหร่
และเมื่อปมเริ่มเยอะขึ้น ซ้อนทับขึ้น คนทำหนังก็กลับตัดมันทิ้งแบบไม่เหลือเยื่อใยแล้วยัดเยียดฉากหนีซอมบี้เข้ามากลบเกลื่อนพล็อตที่มีแต่รูโหว่เต็มไปหมดได้ไม่ค่อยแนบเนียบเท่าไหร่จนผลลัพธ์ของมันคือการกลายเป็นหนังซอมบี้จากเกมที่เหมือนจำลองฉากมาต่อ ๆ กัน ซึ่งแม้จะสร้างความบันเทิงได้ชั่วครั้งชั่วคราวแต่จบแล้วก็พร้อมจะลืมในทันที
อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการที่หนังได้ทุนสร้างเพียง 33 ล้านเหรียญทำให้ความตั้งใจที่จะเนรมิตรทุกอย่างให้เหมือนภาพในเกมกลายเป็นหายนะอย่างช่วยไม่ได้เพราะมันทำได้เพียงผิวหน้าเท่านั้นทั้งฉากโรงพักเมืองแร็กคูนหรือคฤหาสน์สเปนเซอร์ และผลของมันยังทำให้ซีจีที่ควรจะแนบเนียนกลายเป็นงานถอยหลังเข้าคลองที่บางทีแล้วหนังปี 2002 ยังดูดีเสียกว่า นอกจากนี้พลังของนักแสดงก็ยังไม่มากพอจะทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยนักเพราะตัวละครพวกเขาแบนราบไร้มิติเสียเหลือเกิน
หากผู้สร้างคิดจะเริ่มแฟรนไชส์ใหม่ก็บอกเลยว่ายังเป็นจุดเริ่มต้นที่ห่างชั้นจาก ‘Resident Evil’ ปี 2002 ที่ภาพของอลิซตื่นขึ้นมาในเมืองแร็กคูนซิตี้ร้างยังคงความหลอกหลอนและสร้างภาพจำให้หนังได้มากกว่าหนังภาคนี้ทั้งเรื่องเสียอีก
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส