Release Date
03/02/2022
Runtime
131 Minutes
Director
Roland Emmerich
Cast
Patrick Wilson Halle Berry John Bradley
Our score
6.2[รีวิว] Moonfall วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก – ไซไฟ (ปลอม) ฟอร์มโต..โม้ออกนอกหน้า
จุดเด่น
- หนังเน้นเอนเตอร์เทนคนดูเป็นหลักจริง ๆ ทั้งโม้ทั้งวินาศสันตะโร
- John Bradley คือเดอะแบกด้านความสนุกของหนังจริง ๆ
- Halle Berry สวยมองเพลินอย่างไม่น่าเชื่อ
จุดสังเกต
- บทหนังคือรูรั่วเต็มไปหมด ทั้งตรรกะทางวิทยาศาสตร์จนไม่น่าได้ชื่อว่าเป็นหนังไซไฟ หรือ ตรรกะการตัดสินใจของตัวละครที่วิบัติมากๆ
- แพทริก วิลสันคือปล่อยจอยไม่ไหว แสดงได้ไม่น่าเชื่อถือเลย
- ซีจีหลายจุดยังไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไหร่
-
บทยัดทุกความบังเอิญและมั่วนิ่มกับทุกกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์แต่เน้นเอนเตอร์เทนคนดู
6.0
-
งานสร้างดูใหญ่โต แต่ก็ยังมีซีจีไม่แนบเนียนหลุดมาให้เห็นอยู่ดี
6.0
-
นักแสดงเบอร์ใหญ่ในหนังถูกใช้ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ ยังดีที่มีนักแสดงเบอร์รองมาแบกไว้ให้
6.0
-
ถ้าเทียบกับหนังไซไฟมันก็ไม่น่าจดจำ แต่ถ้าหาความบันเทิงแบบดูแล้วจบกันก็พอได้
6.0
-
หนังแบบนี้ดูในโรงแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว
7.0
หากจะกล่าวถึงชื่อของผู้กำกับสักคนกับหนังแนวหายนะโลกเชื่อว่าคงไม่มีใครลืมชื่อของโรแลนด์ เอ็มเมอริชได้แน่นอนเพราะแจ้งเกิดมาจากหนังแนวนี้ทั้ง ‘Independence Day’ หรือ ‘ID4’ หนังเอเลียนบุกโลกที่มีภาคต่อแบบไม่มีใครอยากจดจำ ‘The Day After Tomorrow’ หนังหายนะโลกที่ทำให้ทุกคนหันมาตระหนักเรื่องโลกร้อน มาจนถึงหนัง ‘2012’ หนังหายนะโลกระดับเมกะโปรเจกต์ และมีทีท่าว่าเขาจะหันไปทำหนังแนวอื่นอย่าง ‘Midway’ ที่เป็นหนังสงครามมาคั่นกลางบ้าง แต่แล้วล่าสุดเขาก็กลับมาล้างโลกอีกครั้งในหนังใหม่อย่าง ‘Moonfall’
ไบรอัน ฮาร์เปอร์ (นำแสดงโดย แพทริก วิลสัน Patrick Wilson) อดีตนักบินอวกาศที่เคยบาดหมางกับนาซาจำต้องกลับมาร่วมภารกิจครั้งใหม่กับ โจซินดา ฟาวล์ (นำแสดงโดย ฮัลลี เบอร์รี Halle Berry) อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาอีกครั้งหลังจากเคซี เฮาส์แมน (นำแสดงโดยจอห์น แบรดลีย์ John Bradley) หนุ่มเนิร์ดที่ค้นพบว่าดวงจันทร์เปลี่ยนเส้นทางโคจรและกำลังจะพุ่งชนโลกนำความวิบัติมาสู่ทุกชีวิต ชะตากรรมของโลกจึงอยู่ในมือของพวกเขา
ต้องบอกว่าการจะไปดู ‘Moonfall’ ให้สนุกจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องทิ้งตรรกะด้านวิทยาศาสตร์หรือแม้กระทั่งความเป็นปกติของมนุษย์ไว้ที่บ้านก่อนไปเข้าโรงหนังเพราะนี่ไม่ใช่หนังไซไฟจริงจังแต่เป็นการเอาชื่อที่คนดูคุ้นหูอย่างนาซามาผสมกับเรื่องเส้นทางโคจรของดาวเคราะห์อย่างดวงจันทร์ (moon orbit) แลัวเขย่าด้วยตรรกะแบบทรานส์ฟอร์เมอร์ว่าด้วยเอเลียนสิงสู่เข้าไปในดวงจันทร์แค่นี้ก็อุทานได้แล้วว่า “เอาอะไรไปวิทยาศาสตร์ ?’
ซึ่งถ้าเราตัดตรรกะทั้งหมดออกจากหัวได้ยอมรับเลยครับว่าโรแลนด์ เอ็มเมอริชแกแม่นยำในการเอ็นเตอร์เทนคนดูจริง ๆ แบบถ้าเกิดเริ่มมีบทพูดเยอะ ๆ แกจะเริ่มเล่นมุกหรือเอาอะไรมาล่อความสนใจเสมออย่างเรื่องนี้ก็มีทั้งมุกแป้ก ๆ ที่ให้ตัวละครเคซี เฮาส์แมน ที่ได้นักแสดงซีรีส์ ‘Games of Throne’ อย่างจอห์น แบรดลีย์มาแบกความสนุกด้านคอมเมดี้ของหนังพ่วงด้วยน้องแมวส้มอีก 1 ตัวที่อยู่ ๆ นางก็กลายเป็นสะพานเชื่อมให้ตัวละครอย่างเฺฮาส์แมนมาเจอกับไบรอัน ฮาร์เปอร์ตัวละครของแพทริก วิลสันด้วยฉี่แมว !
และพอสถานการณ์เริ่มเข้าด้ายเข้าเข็มทีนี้หนังก็ไม่สนความสมจริงหรือตรรกะอะไรทั้งสิ้น อยู่ดี ๆ สองหนุ่มก็ถูกบุกมาเจอโดย โจซินดา ฟาวล์ ตัวละครของฮัลลี เบอร์รี ซึ่งตัวละครฟาวล์นี่นอกจากอดีตจะเป็นคนที่ฮาร์เปอร์ช่วยไว้จากเหตุการณ์ต้นเรื่องแล้ว นางยังเป็นตัวละครหญิงในนาซาที่สวมสูทรับหน้าที่ควบคุมการปล่อยยานซึ่งหาได้ยากที่จะเห็นตัวละครหญิงผิวสีฉลาด ๆ ในหนังไซไฟนอกเหนือจากสวมชุดนักบินอวกาศ
ซึ่งหนังก็ทำให้เห็นการตัดสินใจฉลาด ๆ ของนางอยู่นะ จนกระทั่งถึงจุดที่เริ่มมีวิกฤติทีนี้นางสติแตกไล่คนกลับหมดจนเหลือแค่ ฮาร์เปอร์ ฟาวล์ และ เฮาส์แมน แล้วหนังก็ทำให้ภาพของภารกิจกู้วิกฤติในอวกาศเป็นงานปล่อยบุญบั้งไฟทันทีทุกอย่างขึ้นกับดวงชะตาจนความรู้คนดูที่เคยเรียนวิทย์มาตอนมัธยมถูกเอ็มเมอริชขยี้แหลกเป็นผุยผงเพราะบทก็ดันเพ้อเจ้อมั่วนิ่มเอาว่าเออในเมื่อดวงจันทร์ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงได้ ถ้าเชื้อเพลิงไม่พอดวงจันทร์ก็คงดึงยานขึ้นได้มั้ง ฮ่ะ ! เอาจริงเหรอ ?
ซึ่งหากทำใจและมีอุเบกขากับความโม้ที่หนังประเคนใส่มากพอยอมรับเลยนะครับว่า ‘Moonfall’ คืองานดูคลายเครียดที่ตีตั๋วดูแล้วไม่เสียดายตังค์เลย แม้จะพ่วงมาด้วยความมั่วนิ่มกับการเฉลยเรื่องราวที่ประหนึ่งเอ็มเมอริชก็อยากจะทรีบิวต์ (Tribute) ‘2001 : A Space Odyssey’ หนังไซไฟขึ้นหิ้งของสแตนลี คิวบริค (Stanley Kubrick) ด้วยการพูดถึงต้นกำเนิดของมนุษย์บ้างแม้มันจะแถจนเราแอบเขินแทนก็เถอะ และใครคิดว่าผมสปอยล์เนื้อหานะ บอกไว้ก่อนว่าหนังครึ่งหลังคือหลุดโลกทะลุจักรวาลแบบไอ้ที่เล่ามาครึ่งเรื่องแรกแทบไม่มีผลกับบทสรุปหนังเลย
ด้านนักแสดงต้องบอกว่ามันน่าจะเป็นการแจ้งเกิดให้ จอห์น แบรดลีย์ ได้ไม่ยากเลยเพราะในขณะที่เราเห็นการแสดงแบบปล่อยจอยของแพทริก วิลสันที่ไม่สนใจจะสร้างความน่าเชื่อถือให้คาแรกเตอร์ตัวเอง เป็นแบรดลีย์นี่แหละที่คอยแบกความสนุกของหนังไว้เลย ส่วนฮัลลี เบอร์รี ก็ทำให้เห็นว่านักแสดงที่มีเสน่ห์นี่ต่อให้อายุมากขึ้นแค่ไหนเธอก็สร้างเสน่ห์ให้คนดูจดจำได้ แม้ตัวละครของเธอจะพาหนังให้ดูตรรกะวิบัติแค่ไหนก็ตาม
อ้อลืมไป ! มันวิบัติตั้งแต่บทพูดในหนังแล้วนี่หว่า วิบัติถึงขึ้นรอบสื่อที่อเมริกาเอามาทวีตกันรัว ๆ โดยเฉพาะวรรคทองที่ต่อไปจะต้องถูกไปโควตกันว่าเล่นโดยเฉพาะบทนี้ที่เราขอเอามาทิ้งท้ายรีวิวชิ้นนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส