Our score
6.2[รีวิวซีรีส์] ‘Love You as the World Ends’ เมื่อญี่ปุ่นเล่าเรื่องความรักผ่านพล็อตซอมบี้
จุดเด่น
- วางปมน่าสนใจและน่าติดตาม
- เอกลักษณ์ของตัวละครแต่ละตัวมีความชัดเจน
จุดสังเกต
- การกระทำของตัวละครที่น่าหงุดหงิดในหลาย ๆ ครั้ง
- เน้นดราม่าระหว่างคนด้วยกันเอง แต่กลับไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
5.0
-
คุณภาพงานสร้างและการถ่ายทำ
6.0
-
คุณภาพของนักแสดง
8.0
-
คุณภาพการเล่าเรื่อง
6.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
6.0
เปลี่ยนรสชาติจากซอมบี้เกาหลี มาเป็นซีรีส์ซอมบี้สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ‘Love You as the World Ends’ หรือ ‘รักเธอตราบวันสิ้นโลก’ กันบ้าง ฟังจากชื่อแล้วกลิ่นอายความโรแมนติกจัดเต็ม…ซึ่งในซีรีส์ก็เน้นเรื่องราวความรักและความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครสมกับชื่อเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีประเด็นของการเอาตัวรอด ไวรัสปริศนา และเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจกันของกลุ่มผู้รอดชีวิตมาทำให้เรื่องราวดูน่าสนใจอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่ตัวละครเยอะ ดราม่าเยอะ และการกระทำของตัวละครบางตัวที่ไม่สมเหตุสมผล ทำให้ทุกอย่างออกมาขาด ๆ เกิน ๆ ไปแบบน่าเสียดาย
ซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดย อายามิ นากะโจ (Ayami Nakajo) และ เรียวมะ ทาเคอุจิ (Ryoma Takeuchi) ที่เคยมีผลงานสร้างชื่ออย่าง ‘My Teacher, My Love’ และ ‘Kamen Rider Drive’ กำกับโดย ชินทาโร ซูกาวาระ (Shintaro Sugawara) ผู้กำกับซีรีส์ ‘Black School Rules และ ‘Nurse in Action’ นอกจากนี้ยังเคยกำกับภาพยนตร์และซีรีส์อีกหลายเรื่อง
‘Love You as the World Ends’ เล่าเรื่องราวของ มามิยะ ฮิบิกิ หนุ่มช่างซ่อมรถที่แสนดี จริงใจ มีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคน เขาอาศัยอยู่กับ โอกาซาวาระ คุรุมิ แฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งตัวเขาวางแผนจะขอเธอแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ แต่แล้ววันนั้นฮิบิกิกลับเจออุบัติเหตุและต้องไปติดอยู่ในอุโมงค์ถึง 4 วัน สุดท้ายแม้เขาจะเอาตัวรอดออกจากอุโมงค์มาได้ ฮิบิกิก็พบว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว
ระหว่างที่ฮิบิกิกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็พบผู้ติดเชื้อไวรัสที่ตรงเข้ามาทำร้าย ฮิบิกิจึงต้องเอาตัวรอดและสิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือคุรุมิ แต่เมื่อพระเอกของเรากลับมาที่บ้านของทั้งคู่ แฟนสาวของเขากลับหายตัวไป ฮิบิกิจึงออกเดินทางเพื่อตามหาเธอ ทำให้เขาได้พบกับผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ และทำให้เข้าใจสถานการณ์ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
การเดินทางของฮิบิกิและกลุ่มผู้รอดชีวิตเริ่มต้นขึ้น ผู้รอดชีวิตแต่ละคนต่างมีเป้าหมายของตัวเอง ส่วนตัวฮิบิกิก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อตามหาคนรัก ระหว่างทางพวกเขาก็ได้พบผู้คนอีกหลายกลุ่ม จนกระทั่งการเดินทางทำให้ได้พบคำตอบที่มาของไวรัสประหลาด ขณะเดียวกันผู้รอดชีวิตแต่ละคนก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังแตกต่างกัน รวมถึงความสัมพันธ์ในกลุ่มที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
วางปมน่าสนใจ แต่แอบใส่ดราม่าเยอะจนอึดอัด
การเล่าเรื่องช่วงแรกของซีรีส์ถือว่าทำได้ดีเพราะเปิดเรื่องมาก็โยนปมปริศนาและคำถามใส่คนดูแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ให้เราไปหาคำตอบพร้อมกับตัวพระเอก แต่แล้วสิ่งที่ตามมาเมื่อได้พบกับตัวละครอื่นกลับทำให้เรื่องที่ดูกระชับน่าสนใจและน่าติดตามในช่วงแรกดูเนือยไปหมดเพราะต้องการจะเล่าปมปัญหาของตัวละครมากเกินไปและการเอาตัวรอดจากซอมบี้กลายเป็นประเด็นรอง
เมื่อพูดถึงพล็อตเรื่องของ ‘Love You as the World Ends’ นั้นอาจไม่มีอะไรแปลกใหม่ เริ่มเรื่องมาด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสปริศนาทำให้คนดูสงสัย ก่อนจะได้รู้ที่มาที่ไปผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัวจนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างทางเราจะได้พบกับตัวละครมากหน้าหลายตา สิ่งที่ตามมาคือตัวละครแต่ละตัวมีปูมหลัง ที่มา และเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเล่าเรื่องในซีรีส์บางครั้งไม่สามารถทำให้ ‘อิน’ ไปกับทุกตัวละครได้จนทำให้บางจังหวะรู้สึกอึดอัดกับความดราม่าที่พยายามใส่เข้ามา
ส่วนในด้านความรักของพระนาง ซีรีส์เองก็มีการแทรกฉากย้อนอดีตมาเป็นระยะเพื่อเน้นย้ำว่าทั้งคู่รักกันหวานชื่นมาตั้งแต่สมัยเรียน พยายามตอกย้ำให้คนดูเชื่อว่าพระเอกรักนางเอกมากจนพร้อมเสี่ยงตายเดินทางตามหาและยังเชื่อมั่นว่านางเอกยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตรงจุดนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี แต่เพราะความรักจนล้นนี่แหละที่ทำให้บางครั้งการตัดสินใจของตัวละครดูน่าหงุดหงิดไปบ้าง
ส่วนใครที่หวังว่าจะได้ดูฉากบู๊สนั่น แอ็กชันกระจาย ซอมบี้วิ่งเร็ว 4×100 เมตรอาจต้องผิดหวัง เพราะ ‘Love You as the World Ends’ นั้นซอมบี้ไม่ได้ดูโหดหรือน่ากลัวจนต้องลุ้นแทบหายใจแบบเรื่องอื่น เรื่องราวจะเน้นความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว การเฉลยที่มาของไวรัสปริศนา และเรื่องราวความรักของพระเอกนางเอกมากกว่าการต่อสู้กับซอมบี้แบบจัดเต็ม
อีกหนึ่งจุดที่น่าผิดหวังของ ‘Love You as the World Ends’ ก็คือมิติของตัวละครที่บางครั้งแบนราบดูไม่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างตัวพระเอกที่แสนดีเกินไปตั้งแต่ต้นจนจบ หรือนางเอกที่เหมือนจะเก่งและฉลาดแต่ก็ไปไม่สุดทาง ส่วนตัวละครบางตัวปูทางมาดีแต่เมื่อถึงเวลาตายกลับจืดจางจนไม่น่าจดจำ ไม่มีอารมณ์ร่วมใด ๆ จุดนี้ถือว่าน่าเสียดายอยู่พอสมควร แถมช่วงหลังพระเอกนางเอกกลับทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกเหนื่อยกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่แทนเอาใจช่วยไปซะอย่างนั้น!? (เพราะอะไรต้องลองไปดูกันนะ) การลุ้นความสัมพันธ์ของคู่รองหรือความสัมพันธ์ของตัวละครอื่นกลับดูน่าสนใจกว่า
เรื่องราวขับเคลื่อนด้วย ‘ความรัก’
สำหรับผู้เขียนมองว่า ‘Love You as the World Ends’ นั้นขับเคลื่อนเรื่องราวด้วย ‘ความรักหลากหลายรูปแบบ’ เพราะตลอดทั้ง 16 ตอนเราจะได้เห็นความรักแบบต่าง ๆ ทั้งความรักระหว่างหนุ่มสาว รักสามเส้า รักของคนเป็นพ่อแม่ รักของพี่น้อง รักของเพื่อน รักของสามีที่ต้องการคืนชีวิตให้ภรรยา หรือความรักที่กลายเป็นความเกลียดชัง ความรู้สึกเหล่านี้เป็นปมที่ขับเคลื่อนตัวละครแต่ละตัวโดยมีฉากหลังเป็นโลกที่ล่มสลายเพราะไวรัสซอมบี้ แต่ด้วยความที่เล่าเรื่องได้ขาด ๆ เกิน ๆ ความกลมกล่อมและความน่าติดตามจึงลดลงไป
นอกจากนี้บทบาทของ มามิยะ ฮิบิกิ ยังติดอยู่กับสไตล์พระเอกแบบเดิม ๆ ของญี่ปุ่น คือมีความเป็นฮีโร ต้องการช่วยทุกคน ตัวเองต้องเป็นผู้เสียสละเสมอ ซึ่งบางครั้งตัวละครแบบนี้ก็ทำให้เรื่องราวน่าเบื่อได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องดูซีรีส์ต่อเนื่อง 16 ตอนโดยที่พระเอกแทบไม่มีการพัฒนาการของตัวละครเลย ยังคงความเป็น ‘ฮีโรที่ต้องเสียสละ’ ตั้งแต่ต้นจนเกือบจบ (ยังดีที่ช่วงท้ายแอบมีความเปลี่ยนแปลงของพระเอก ทำให้ตัวละครดูมีพัฒนาการขึ้นบ้าง)
สรุป
โดยสรุป ‘รักเธอตราบวันสิ้นโลก’ หน้าฉากอาจเป็นซีรีส์ซอมบี้ เอาตัวรอดจากวันโลกล่มสลาย แต่จริง ๆ แล้วเต็มไปด้วยดราม่าและปัญหาระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง คนที่ไม่ชอบเรื่องราวดราม่า ตัวละครที่ดูแล้วหงุดหงิดก็อาจไม่ค่อยปลื้มซีรีส์เรื่องนี้เท่าไรนัก แต่หากใครชอบซีรีส์ดราม่าแบบญี่ปุ่นก็อาจอินกับซีรีส์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามถึงจะแอบเหนื่อยกับดราม่าในกลุ่มผู้รอดชีวิต ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางของพระเอกที่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งทำให้เราแอบรอคอยว่าเรื่องราวในซีซัน 3 จะเล่าออกมาแบบไหน และทิศทางของเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป
‘Love You as the World Ends’ หรือ ‘รักเธอตราบวันสิ้นโลก’ ซีซัน 1 มี 10 ตอน และซีซัน 2 มี 6 ตอน ซึ่งทาง Netflix รวบยอดให้ชมกันแบบจุใจ 16 ตอนจบ นอกจากนี้ใครที่ดูแล้วชอบก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องรอนานเพราะซีซัน 3 มีโปรแกรมออกอากาศตอนแรกวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ทาง Hulu ส่วนประเทศไทยของเรานั้น Netflix จะนำเข้ามาฉายเมื่อไรต้องลุ้นกันอีกที
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส