![[รีวิว] The Book of Boba Fett – สปินออฟในสปินออฟ กำเนิดใหม่มาเป็นเจ้าพ่อแห่งทาทูอีน](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/02/The-Book-of-Boba-Fett-374x468.jpg)
Our score
7.9Release Date
29/12/2021
แนว
แอ็กชัน/ผจญภัย
ความยาว
7 ตอน (1 ซีซัน)
เรตผู้ชม
PG (เด็กและเยาวชนควรได้รับคำแนะนำ)
Executive Producer
'จอน ฟาฟโรว์' (Jon Favreau), เดฟ ฟิโลนี (Dave Filoni), 'แคทธรีน เคนเนดี' (Kathleen Kennedy) 'โคลิน วิลสัน' (Colin Wilson), 'โรเบิร์ต รอดริเกวซ' (Robert Rodriguez)
![[รีวิว] The Book of Boba Fett – สปินออฟในสปินออฟ กำเนิดใหม่มาเป็นเจ้าพ่อแห่งทาทูอีน](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/02/The-Book-of-Boba-Fett-780x976.jpg)
Our score
7.9The Book of Boba Fett | คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์
จุดเด่น
- เผยเรื่องราวที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับโบบา เฟตต์ได้แบบเคลียร์ ๆ เติมเต็มความฝันให้แฟน ๆ
- งานวิชวลเอฟเฟกและกราฟิกยังทำได้ดีสมราคาซีรีส์สตาร์ วอร์ส
- กราฟความสนุกค่อย ๆ ไต่ขึ้น บทสุดท้ายสนุกสุด
- ฉากแอ็กชันสนุกเร้าใจ โดยเฉพาะในบทสุดท้าย
- แขกรับเชิญ แขกเซอร์ไพรส์ และ Easter Egg จากจักรวาลสตาร์ วอร์สอย่างเพียบ !
จุดสังเกต
- กราฟความสนุกถือว่าไต่ช้าถ้าเทียบกับซีรีส์ The Mandalorian โดยเฉพาะใน 3 ตอนแรก
- ดรอยด์ในซีรีส์เรื่องนี้ยังเฉย ๆ ไม่ได้มีตัวไหนโดดเด่น
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.4
-
คุณภาพงานสร้าง
8.7
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
8.0
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
6.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
8.7
สำหรับแฟนเดนตายของจักรวาล Star Wars การมาของซีรีส์ ‘The Book of Boba Fett’ ไม่ใช่แค่เพียงซีรีส์สปินออฟเรื่องใหม่ครับ แต่มันยังมีความหมายอย่างมากในฐานะที่เป็นซีรีส์สปินออฟที่หยิบเอาหนึ่งในตัวละครจากจักรวาลหลัก โดยเฉพาะตัวละครหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีสีสัน และเป็นตัวละครที่มีกลุ่มแฟน ๆ ชื่นชอบอยู่เยอะพอสมควร (แม้ว่าจะเป็นตัวร้ายน่ะนะ) ตัวละครที่ว่านั่นก็คือ ‘โบบา เฟตต์’ (Boba Fett) บุตรชายร่างโคลนของ ‘จังโก เฟตต์’ (Jango Fett) ใน Skywalker Saga นั่นเอง

ในภาพยนตร์ โบบา เฟตต์ นักล่าค่าหัวของฝั่งจักรวรรดิ์สิ้นชื่อไปแล้ว เพราะว่าพลัดตกลงไปในหลุมสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘ซาแล็ก’ (Sarlacc) ใน ‘Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi’ (1983) แต่ในเชิงของเรื่องราวและทฤษฏีการรอดตายออกมาจากตัวซาแล็กของโบบา เฟตต์นั้นถูกพูดถึงในหมู่แฟน ๆ มานานแล้วว่า ในที่สุด นักล่าค่าหัวยอดฝีมือคนนี้จะต้องรอดออกมาจากตัวซาแล็กได้แน่นอน (ถ้าเอาตามทฤษฏี ก็มีความเป็นไปได้อยู่ เพราะจับบาบอกผ่านซีทรีพีโอ (C-3PO) ไว้ในหนังเองว่า ตัวซาแล็กใช้เวลาเป็นพัน ๆ ปีในย่อยอาหาร)

จุดนี้แหละที่ทำให้แฟน ๆ ต่างสร้างทฤษฏีต่าง ๆ นานาเพื่ออธิบายว่า โบบา เฟตต์จะเอาชีวิตรอดออกมายังไงได้บ้าง รวมทั้งมีการเรียกร้องให้มีการสร้างเรื่องราวที่เป็นทางการขึ้นมาเสียที ตอนแรกมีแผนว่าจะกลายมาเป็นภาพยนตร์ แต่แล้วก็พับแผนไป จนกระทั่งการมาของ Disney+ ที่ทำให้ความฝันของแฟน ๆ กลายเป็นจริงได้ในที่สุดในซีรีส์ ‘The Book of Boba Fett’ หรือ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’

โดยรวม ตัวซีรีส์เองก็ยังคงใช้แนวทางเดียวกับที่เคยทำกับซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ทั้ง 2 ซีซัน ทั้งในแง่บท โปรดักชัน และวิธีการเล่าเรื่อง ซึ่งก็ต้องเปรย ๆ ไว้ก่อนนะครับว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดู ‘The Mandalorian’ โดยเฉพาะในซีซันที่ 2 มาก่อน เพราะว่าในนั้นมีเรื่องราวของโบบา เฟตต์ที่ถูกเล่าไปแล้วบางส่วน หากใครที่โพล่งมาดูก่อน หรือดูแล้วแต่จำไม่ได้ (แบบผู้เขียน (555) ก็อาจจะมีงง ๆ และอาจจะเผลอคิดไปเองได้ว่า ตัวซีรีส์มี Plot Hole ที่เชื่อมเรื่องราวได้ไม่สมบูรณ์นัก หากจะมองในฐานะของซีรีส์เรื่องนี้แบบเอกเทศ ผู้เขียนเองมองว่า เนื้อเรื่องถือว่าไม่ปราณีปราศรัยสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟน Star Wars นะครับ เพราะในซีรีส์จะไม่มี Flashback ให้ดูย้อนเสียด้วยสิ แถมยังมีตัวละครที่มาจากแอนิเมชันในจักรวาลมาโผล่เป็น Life Action เป็นครัั้งแรกอยู่หลายตัวอีกด้วย

ด้วยความที่คอนเซปต์เรื่องราวของ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’ นั้น ถูกวางไว้เป็นสองเส้นเรื่อง ทั้งเรื่องการรำลึกการผจญภัยของโบบา เฟตต์ในอดีต ตั้งแต่การเอาตัวรอดออกมาจากตัวซาแล็ก เอาตัวรอดบนดาวทาทูอีน ลบภาพนักล่าค่าหัวทิ้งไป ตัดสลับกับช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เล่าด้วยท่าทีและแรงบันดาลใจที่ชัดเจนว่าหยิบยืมมาจากหนังมาเฟียสไตล์ ‘The Godfather’ ที่ตอนนี้ โบบา เฟตต์ ในฐานะไดเมียว หรือผู้ปกครองแห่งเขตมอส เอสปา (Mos Espa) และมือขวาจอมสังหารอย่าง ‘เฟนเนก แชน’ (Ming-Na Wen) ต้องหากลวิธีร่วมมือถ่วงดุลอำนาจ และป้องกันแก๊งไพก์ (Pykes) ที่กำลังจะรุกเข้ามาทำการค้าสไปซ์ หรือผงสารเสพติดบนดาวทาทูอีน นั่นก็เลยทำให้ใน 3 บทแรกนั้นมีอาการเดินเครื่องอืดไปหน่อย และยิ่งเทียบกับ ‘The Mandalorian’ ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่าเรื่องนั้นมีพล็อตและการดำเนินเรื่องที่เรียบง่ายและตรงตัวกว่าเรื่องนี้จริง ๆ

คือในแง่ของการได้ค้นพบชีวิตของโบบา เฟตต์ ที่แฟน ๆ รอคอยมาแสนนานนั้นก็ถือว่าสนุกและตื่นเต้นใช้ได้นะครับ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับเผ่าทัสเคน ที่จะมีแอ็กชันให้ดูเยอะหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกแหละว่า มันไปถ่วงให้พาร์ตการเมืองในฐานะเจ้าพ่อ (ไดเมียว) ที่อาจจะมีแอ็กชันอยู่บ้าง แต่ก็เน้นนั่งโต๊ะเจรจาเป็นส่วนใหญ่ ดูดรอปและมีรายละเอียดให้ติดตามน้อยไปสักหน่อย จนกระทั่งในบทที่ 5 และ 6 นี่แหละครับ ที่กราฟความสนุกค่อย ๆ ไต่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะนอกจากจะมีฉากแอ็กชันมากขึ้นกว่าเดิม (เพราะเล่าเรื่องอดีตของเฟตต์จบไปแล้ว)

สิ่งที่เป็นความสนุกสำหรับแฟน ๆ Star Wars ก็เห็นจะเป็น Easter Egg ต่าง ๆ ทั้งคน เหตุการณ์ สถานที่ ที่ล้วนแล้วเคยผ่านตาเรื่องราวทั้งจากในภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน คอมิก (หรือแม้แต่แฟนเมด) ในจักรวาลสตาร์ วอร์สอยู่เต็มไปหมด ชนิดที่เรียกว่าน่าจะเป็น Easter Egg และเซอร์ไพรส์ (คน ๆ นั้นแหละ) ที่ทั้งมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง และเส้นเรื่องก็จะมาบรรจบกับเส้นเรื่องหลักได้ในที่สุด และจะว่าไป มันก็ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีฐานะกลายเป็นสปินออฟ (Spin Off) ของซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ได้อยู่เหมือนกันนะครับ

โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว กราฟความสนุกมาสุดตรงที่ตอนสุดท้ายของซีซันในบทที่ 7 (‘In the name of honor’) พอดิบพอดีเลยครับ คือเรียกว่า ถ้าค่อย ๆ เก็บรายละเอียดจากทั้ง 6 บท บทสุดท้ายนี่แหละที่ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับรอคอยอย่างแท้จริง เพราะเนื้อเรื่องทุกเส้นจะมาขมวดจบกันในบทนี้พอดี เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เดินเรื่องด้วยการสู้รบระหว่างกองกำลังของโบบา เฟตต์ และเฟนเนก แชน ที่สามาถรวมเอาไพร่พลที่ล้วนแล้วแต่เคยเป็นศัตรูของท่านไดเมียว ทั้งแก๊งวัยรุ่นมอเตอร์ไซค์ เจ้าวูกกีป่าเถื่อนอย่างแบล็ก คาร์ซานทาน (Black Krrsantan) ให้มาร่วมกันต่อสู้กับแก๊งไพก์ได้ในที่สุด

รวมทั้งยังเป็นการเฉลยเซอร์ไพรส์ก้อนใหญ่เกี่ยวกับ (คน ๆ นั้นแหละ) ซึ่งแน่นอนว่า มาทีเดียวฮือฮากว่าเจ้าของเรื่อง แถมยังปูเรื่องส่งให้ซีรีส์ตัวเองที่จะฉายในอนาคตได้อีกต่างหาก (555) แต่ใด ๆ ก็ตาม ตัวซีรีส์ทั้งเรื่องก็พร้อมที่จะส่งต่อซีซันต่อไปได้อย่างแน่นอน และผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะดีขึ้นกว่านี้ได้ด้วย เพราะตัวซีรีส์น่าจะสามารถเดินเรื่องราวใหม่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาดำน้ำรำลึกอดีตในแทงก์หรือโดนแย่งซีนอีกต่อไป (555)

อย่างที่ผู้เขียนกล่าวไปข้างต้นว่า ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงใช้แนวทางเดียวกับ ‘The Mandalorian’ ทีมงานก็เลยยังคงเป็นทีมเดิม ทั้งกราฟิกฉากที่ยังคงใช้เทคโนโลยี Unreal Engine สร้างฉากเสมือนจริง วิชวลเอฟเฟกจาก Industrial Light & Magic สกอร์ดนตรีจาก ‘ลุดวิก เยอรันซัน’ (Ludwig Göransson) ที่คราวนี้สอดแทรกความเป็นเวิลด์ มิวสิกเข้าไปได้อย่างลงตัวและมีกลิ่นอายความเป็นชนเผ่ามาก ๆ รวมทั้งการสร้าง “ตัวละครเซอร์ไพรส์” ที่ใช้นักแสดงแทนมาร่วมกับเทคโนโลยีลดอายุ (De-aging) และใช้ AI ประมวลเสียงของนักแสดงท่านนี้ในวัยหนุ่มขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องพากษ์ใหม่เลย ซึ่งพอตัวละครตัวนี้ได้มีบทบาทมากขึ้นเต็ม ๆ ในซีรีส์ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า แม้จะไม่ได้เหมือนตัวจริงแบบเด๊ะ ๆ แต่ก็ทำออกมาได้อย่างแนบเนียนกว่าเดิมมาก ๆ จนเรียกได้ว่าน่าพอใจเลย

ส่วนในแง่ของนักแสดง ก็ต้องเรียกได้ว่าโชคดีจริง ๆ ครับ ที่ ‘เตมูรา มอร์ริสัน’ (Temuera Morrison) เจ้าของบทพ่อ ‘จังโก เฟตต์’ (Jango Fett) ใน Star Wars ไตรภาคต้น (เอพิโสด 1-2-3) ซึ่งจริง ๆ แล้ว เขาเองถือว่าผูกพันกับบทนี้มายาวนานมากกว่า 20 ปี เพราะเขาเองรับทั้งบทหลัก บทรองเป็นทหารโคลน ให้เสียงพากษ์เป็นทหารโคลนในหนังหนังเวอร์ชันพิเศษและเกม จนในที่สุดก็ได้กลับมารับบทโบบา เฟตต์ผู้เป็นลูกอีกครั้ง

แน่นอนว่าด้วยอายุก็เข้าเลข 6 แล้ว ก็แอบหวั่น ๆ อยู่เหมือนกันว่าลุงแกจะสู้กับบทแอ็กชันหนัก ๆ ไหวหรือเปล่า แต่ก็ต้องเรียกได้ว่าสู้ได้จริง ๆ เพราะยังคงออกแรงแอ็กชัน ทั้งการต่อสู้กับเอเลียน การต่อสู้แบบชนเผ่าทัสเคน หรือการต่อสู้ในฐานะโบบา เฟตต์ที่เป็นไดเมียวแห่งมอส เอสปา ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างไม่น่าห่วง ยิ่งในบทที่ 7 ก็จะยิ่งได้เห็นเขาออกแอ็กชันกันแบบเต็ม ๆ ส่วน ‘มิง-นาเว็น’ (Ming-Na Wen) ที่รับบท ‘เฟนเนก แชน’ ก็จะได้โชว์ฝีมือการไล่ล่าศัตรูแบบ Free running ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในจักรวาลสตาร์ วอร์ส และเท่มาก ๆ ครับ

โดยสรุปแล้ว ผู้เขียนอยากเรียก ‘The Book of Boba Fett’ ว่าเป็น “สปินออฟในสปินออฟ” เสียจริง ๆ เพราะในระหว่างที่ซีรีส์เรื่องนี้ยังเล่าไปทีละนิด พี่แกดันแทรกเรื่องของ “ตัวละครเซอร์ไพรส์” จนแทบจะไม่ใช่ซีรีส์ของตัวเองแล้ว (555) ถ้านับในแง่ของความเป็นซีรีส์ กราฟความสนุกตื่นเต้นเร้าใจอาจไต่ขึ้นช้าไปสักนิด หากเทียบกับ ‘The Mandalorian’ ที่ดูจะมีเรื่องชัดเจน คงเส้นคงวา และเดินเรื่องกระชับฉับไวกว่ามาก

แต่ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’ เองก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่แฟนพันธุ์แท้ Star Wars ไม่ควรพลาดจริง ๆ เพราะนอกจากจะเป็นการหวนรำลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น เปิดเผย ปะติดปะต่อเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังถือว่าเป็นการส่งต่อเรื่องราวของโบบา เฟตต์ ในฐานะตัวละครที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ให้ได้มีเรื่องราวในจักรวาลอันไกลโพ้นนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ (ก็หวังว่าในซีซันต่อไป จะไม่โดนตัวละครเซอร์ไพรส์โผล่มาแย่งซีนไปทีละเกือบ 2 ตอนแบบนี้อีกนะ (555)

รายชื่อตอนใน ‘The Book of Boba Fett’ ซีซันที่ 1
บทที่ 1 : ‘Stranger in a Strange Land’ กำกับโดย ‘โรเบิร์ต รอดริเกวซ’ (Robert Rodriguez)
บทที่ 2 : ‘The Tribes of Tatooine’ กำกับโดย ‘สเตฟ กรีน’ (Steph Green)
บทที่ 3 : ‘The Streets of Mos Espa’ กำกับโดย ‘โรเบิร์ต รอดริเกวซ’ (Robert Rodriguez)
บทที่ 4 : ‘The Gathering Storm’ กำกับโดย ‘เควิน ตันเจริญ’ (Kevin Tancharoen)
บทที่ 5 : ‘Return of the Mandalorian’ กำกับโดย ‘ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด’ (Bryce Dallas Howard)
บทที่ 6 : ‘From the Desert Comes a Stranger’ กำกับโดย ‘เดฟ ฟิโลนี (Dave Filoni)
บทที่ 7 : ‘In the name of honor’ กำกับโดย ‘โรเบิร์ต รอดริเกวซ’ (Robert Rodriguez)

ปล. อย่าลืมดู End Credits ตอนท้ายบทที่ 7 นะครับ
ปล. 2 ใน Star Wars ต้องมีดรอยด์เสมอ แต่เอาเข้าจริงผู้เขียนกลับเฉย ๆ กับดรอยด์ในซีรีส์เรื่องนี้นะครับ เพราะว่าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เคยปรากฏในภาพยนตร์และแอนิเมชันมาก่อน ถ้าผู้เขียนจะยกให้หุ่นตัวไหนเจ๋งสุด คงต้องยกให้ดรอยด์สุนัข 3 ตัวที่เดินอยู่ในมอส เอสปาในบทที่ 1 ซึ่งดรอยด์เหล่านั้นก็คือหุ่นยนต์สปอต (Spot) ที่ผลิตโดยบริษัทบอสตันไดนามิกส์ (Boston Dynamics) ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง และนั่นแปลว่า มันคือหุ่นยนต์จริง !