[รีวิว] The Rescue: ภารกิจพลีชีพจากปากวีรบุรุษปุถุชนแห่งถ้ำหลวง

Release Date

25/03/2022

ความยาว

107 นาที

[รีวิว] The Rescue: ภารกิจพลีชีพจากปากวีรบุรุษปุถุชนแห่งถ้ำหลวง
Our score
9.8

The Rescue

จุดเด่น

  1. การใช้ฟุตเทจจริงผสมการจำลองเหตุการณ์ที่กลมกลืนแนบเนียน วางเส้นเรื่องได้น่าสนใจไม่ครอบคลุมหลายแง่มุมแต่รักษาโครงหลักได้เหนียวแน่น มีเรื่องที่ชวนรู้ชวนคิดตามได้อีกแม้จะรู้บทสรุปของเรื่องราวดีอยู่แล้ว เร้าอารมณ์ได้สนุกกว่าหนังบันเทิงบางเรื่องเสียอีก

จุดสังเกต

  1. พากย์ไทยอาจไม่เหมาะในการรับชมเสียทีเดียวเพราะมีบางช่วงที่ต้องฟังเสียงจริงภาษาอังกฤษจะได้อารมณ์กว่า นอกจากนี้ซับไทยและพากย์ไทยยังมีบางจุดเลือกแปลไม่เหมือนกัน คิดว่าเลือกดูซํบไทยน่าจะใกล้เคียงกว่าด้วย
  • บทสารคดี

    10.0

  • โปรดักชัน

    9.5

  • การแสดงจำลองเหตุการณ์

    9.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    10.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    10.0

เรื่องย่อ: สารคดีติดตามภารกิจการช่วยชีวิต 13 หมูป่าที่โด่งดังไปทั่วโลก ผ่านสายตาของนักดำน้ำต่างชาติที่อาสาเข้ามาแบกความรับผิดชอบครั้งใหญ่ในปฏิบัติการนี้

จิมมี ชิน (Jimmy Chin) และ อีลิซาเบธ ไช วาซาร์เรลลิ (Elizabeth Chai Vasarhelyi) ทีมผู้สร้างสารคดีเจ้าของรางวัลออสการ์จากหนังปีนผา ‘Free Solo’ (2018) ได้กลับมาด้วยผลงานที่เป็นที่จับตามองยิ่งกว่าเดิม เพราะ ‘The Rescue’ จับเอาปรากฏการณ์ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ว่าด้วยเรื่องราวภารกิจช่วยชิวิต 13 ชีวิตแห่งทีมหมูป่าที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงของไทย

ซึ่งส่วนตัวมองว่าท้าทายพอสมควร เพราะในขณะที่เป็นข่าวนั้นก็เรียกได้ว่าข้อมูลที่บรรดาสื่อต่าง ๆ พยายามเจาะลึกขุดซอกซอนมาเล่าก็มากมายมหาศาลจนแทบไม่เหลืออะไรให้รู้เพิ่มอีกแล้ว แถมหนังที่อ้างอิงจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังประกาศสร้างชนกันอีกหลายเรื่อง แม้ ‘The Rescue’ จะเป็นหนังสารคดีที่ไม่ได้มีจุดขายเป็นหนังบันเทิงแบบฮอลลีวูดหรือแบบหนังไทยที่ออกมาก่อน ทว่าตัวหนังสารคดีเรื่องนี้ก็ควรถูกยกมาเทียบเคียงในกลุ่มเดียวกันได้ด้วยมาตรฐานการเล่าเรื่องที่บางทีสนุกและลุ้นระทึกยิ่งเสียกว่าหนังที่ปั้นเสริมเติมแต่งเสียอีก

The Rescue

หลังจากชมต้องบอกว่าชินและวาซาร์เรลลิสามารถดึงแง่มุมที่คนดูอาจรู้อยู่แล้วและแง่มุมที่คนดูจะตกใจเมื่อรู้มาสร้างเส้นเรื่องได้อย่างน่าสนใจ จุดแข็งที่หนังเรื่องนี้มีคืออภิสิทธิ์ในการเจาะลึกไปในความคิดจิตใจของทีมนักดำน้ำในถ้ำสมัครเล่นชาวอังกฤษอย่าง ริก สแตนตัน (Rick Stanton) และ จอห์น โวลันเดน (John Volanthen) ที่ถูกตามมาช่วยเป็นกลุ่มแรก ๆ ในช่วงที่สถานการณ์ยังลูกผีลูกคน ทางการไทยเองก็ยังตั้งหลักไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรเพราะแม้แต่หน่วยซีลของไทยก็ไม่ได้ถูกฝึกมาสำหรับการดำน้ำในถ้ำซึ่งเป็นรูปแบบที่อันตรายกว่าปกติ

The Rescue
ริก สแตนตัน
The Rescue
จอห์น โวลันเดน

เราอาจรับรู้แง่มุมความเป็นวีรบุรุษและความน่าปลาบปลื้มต่าง ๆ จากข่าวที่ออกมา แต่เมื่อสารคดีพาเราไปสำรวจฝุ่นใต้พรมปมปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดเป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือ มันกลับยิ่งขับเน้นความกล้าของวีรบุรุษที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ให้เด่นชัดมากกว่าคำเยินยอเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พลิกผันจากเดิมแค่มาช่วยให้พบเด็กก็เพียงพอ แล้วที่เหลือรัฐบาลไทยจะรับหน้าที่ในการช่วยเหลือต่อเอง จนเกิดการสูญเสียของจ่าแซมทำให้ทางการไทยต้องหยุดมาคิดใหม่ ซึ่งกลายเป็นว่าปริมาณน้ำในถ้ำก็สูงขึ้นไม่ได้รอให้ตั้งตัวเลย ทำให้ทีมนักดำน้ำต่างชาติต้องกลับมาที่ถ้ำหลวงอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจไว้แต่แรก นำไปสู่แผนการที่บ้าดีเดือดถึงขนาดว่ามีโอกาสพลาดสูงจนพวกเขาต้องเตรียมใจติดคุกในไทยไว้เลย

The Rescue

เรื่องเหล่านี้เราไม่ค่อยได้รู้เพราะมันไม่สวยงามพอในการสร้างตำนานเล่าขาน แต่หนังเรื่องนี้ก็ใช้ความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่กลัวเป็น ผิดพลาดได้ และมีโอกาสตายจริง ๆ มาเป็นตัวนำจนเรากลับยิ่งชื่นชมพวกเขาไปอีก เพราะในแง่หนึ่งพวกเขาก็ไม่ต่างจากเราเลย แต่เขากล้าพอจะแบกรับหน้าที่สำคัญนี้ไว้

The Rescue

สำคัญสุดคือคนทำหนังสารคดีเรื่องนี้เก่งมากที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วมของผู้ชมให้กลืนไปกับพวกทีมดำน้ำได้ แล้วยังเล่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนให้สามารถเข้าใจตามได้ ว่าตอนนี้มีความยากอย่างไร กำลังจะเกิดเรื่องเลวร้ายแล้วไหม บางช่วงก็ปลุกเร้าเราได้อย่างกับฉากอเวนเจอร์รวมพลในหนังมาร์เวล แถมยังเก็บช่วงเวลาแห่งความโรแมนติกไว้ผ่อนคลาย ผ่านเรื่องราวของริกและสาวไทยอย่างแอมป์ได้อีก ฉากตอนเจ้าชายวิลเลียมคุยกับริกเปรียบไปก็เหมือนตอนจบของหนังรอมคอมชั้นดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

The Rescue

นอกจากนี้ยังรู้สึกประทับใจทีมสร้างอีกอย่าง คือความฉลาดในการผสมระหว่างฟุตเทจจริงและการจำลองเหตุการณ์ที่แนบเนียนจนบางทีเราแยกไม่ออกเลย และมันทำให้การเล่าเรื่องไหลลื่นเป็นหนังเรื่องยาวไปอย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้การเลือกใช้กราฟิกในเรื่องนั้นก็ยังพยายามใส่ความเป็นไทยแบบพอดิบพอดีเข้ามา ทั้งใส่คำไทยซ้อนหลังคำอังกฤษเวลาขึ้นข้อความบอกเวลาหรือสถานที่ หรือการเลือกกราฟิกเล่าเรื่องตำนานขุนน้ำนางนอนกับเครดิตจบที่ใช้ลายเส้นจิตรกรรมฝาผนังแบบไทยมาเล่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความใส่ใจและเคารพเจ้าของเรื่องราวอย่างคนไทยมากขนาดไหน

The Rescue

โดยสรุปนี่เป็นหนังสารคดีที่สนุกจนเหมือนหนังบันเทิง ทั้งเพิ่มมุมมองต่อเหตุการณ์ถ้ำหลวงได้ลึกอย่างเฉียบแหลมไม่ตำหนิหรือแสดงท่าทีกล่าวโทษใคร แต่เกิดการเรียนรู้ร่วมกันบนสามัญสำนึกแบบพลเมืองโลกที่ไม่แบ่งด้วยเส้นแบ่งดินแดง และคนที่ดูเรื่องนี้แล้วน่าจะเครียดก็น่าจะมีแค่บรรดาผู้สร้างหนังคนแสดงที่จะอิงจากเหตุการณ์เดียวกันนี้ที่จะตามฉายมาทีหลังนี่ล่ะ เพราะให้สมจริงอย่างไรก็สู้ความจริงได้ยาก แล้วหนำซ้ำเจ้าหนังใช้ภาพจริงเรื่องนี้ดันเร้าอารมณ์ดูสนุกเหมือนหนังบันเทิงอีกต่างหาก เชียร์ให้ดูครับ

The Rescue

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส