เว็บไซต์ Variety ได้รายงานว่า ภายหลังจากที่ Warner Bros. และ Discovery ได้ปิดดีลควบรวมกิจการกันสำเร็จด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 43,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.45 ล้านล้านบาท ภายใต้ชื่อใหม่ Warner Bros. Discovery ไปแล้วนั้น ได้ส่งผลทำให้แผนกภาพยนตร์ของ Werner Bros. ถูกจำกัดการพัฒนาภาพยนตร์และซีรีส์ในแฟรนไชส์ DECU (DC Extended Universe) โดยมีรายงานว่า Discovery ต้องการยกเครื่องใหม่ให้แก่ภาพยนตร์และซีรีส์ในจักรวาล DC นี้
รายงานดังกล่าวระบุข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน อ้างว่า Discovery ให้ความสนใจที่จะฟื้นฟูุตัวละครอย่าง Superman ซึ่งทางบริษัทเชื่อว่าตัวละครที่ขึ้นหิ้งอย่่าง Superman นี้ ถูกทิ้งให้ดูโรยราลงไป
แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่า Warner Bros. Discovery ต้องการทำอย่างไรกับตัวละครใน DECU อย่างชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้ว่าทางบริษัทต้องการปรับปรุงภาพลักษณ์ของตัวละครเหล่านี้ให้ดีขึ้น
นับเป็นเวลาเกือบทศวรรษแล้วที่ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ได้เปิดตัว Superman เวอร์ชันใหม่ใน ‘Man of Steel’ (2013) ที่รับบทโดย เฮนรี แควิลล์ (Henry Cavill) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงด้านรายได้ และทำให้เห็นภาพลักษณ์ของ Superman ที่แตกต่างจากเดิม
แต่ต่อมา Superman ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ที่ถูกวิจารณ์ในแง่ลบอย่าง ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016) และ ‘Justice League’ (2017) ซึ่งทำให้อนาคตในพัฒนาโปรเจกต์ภาพยนตร์ฉายเดี่ยวของ Superman อย่าง ‘Man of Steel 2’ ที่ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แม็กควอรี (Christopher McQuarrie) จาก ‘Mission Impossible: Fallout’ (2018) ให้ความสนใจ ต้องถูกพับไป จนผู้ชมเริ่มคิดว่าอนาคตของ Superman ในแฟรนไชส์ DCEU นั้น ดูจะไม่สดใสเท่าไร
ในตอนนี้ Warner Bros. Discovery ยังคงพัฒนาแฟรนไชส์ DCEU ต่อไป โดยเลือกเดินเรื่องในโทนมืดหม่นดังที่สไนเดอร์ปูพื้นไว้ใน ‘Man of Steel’, ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ และ ‘Justice League’ รวมถึง ‘Zack Snyder’s Justice League’ โดยเลือกเดินในเส้นทางที่ดูง่ายกว่าอย่าง ‘Wonder Woman’, ‘Aquaman’ และ ‘Shazam!’ ซึ่งยิ่งทำให้แฟรนไชส์นี้มีความขัดแย้งในเส้นเรื่องมากขึ้น
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส