หนึ่งในสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกที่หลายคนชื่นชอบนั่นคือการชมภาพยนตร์ ที่ตั้งแต่อดีตนั้นภาพยนตร์คือสื่อความบันเทิงที่อยู่คู่กับมนุษย์อย่างยาวนานพอ ๆ กับการฟังเพลง และเมื่อมาถึงยุคที่วิดีโอเกมเริ่มจะมามีบทบาทในฐานะสื่อหลัก ที่หลายคนเอามาเล่นในยามว่างเคียงคู่การชมภาพยนตร์ สื่อทั้งสองชิ้นนี้จึงถูกเอามารวมกันเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน ยกตัวอย่างคนที่ชมภาพยนตร์จบก็คงอยากจะเล่นเกมในชื่อเดียวเพื่อสานต่อความสนุก และเช่นกันเมื่อเราเล่นเกมแล้วคงจะรู้สึกอยากไปชมภาพยนตร์ที่มาจากเกมนั้นว่าจะสนุกไหม ที่ครั้งหนึ่งวิธีนี้เคยได้รับความนิยมมาก ๆ ก่อนที่เกมซึ่งสร้างจากภาพยนตร์ค่อย ๆ หายไป เพราะเกมเหล่านี้มันไม่สนุกไปจนถึงขั้นเลวร้าย ซึ่งในความเลวร้ายที่ว่าก็มีความเลวร้ายกว่าอยู่อีก วันนี้เราเลยไปรวบรวมเกมที่สร้างจากภาพยนตร์ที่เล่นไม่สนุก ไม่ควรหามาเล่นแค่รู้ไว้ว่ามีเกมเหล่านี้ก็พอ จะมีเกมจากภาพยนตร์เรื่องอะไรบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย
Street Fighter The Movie วางจำหน่าย 1995
เริ่มต้นเรื่องแรกกับตำนานเกมที่สร้างเป็นภาพยนตร์ หรือจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่สร้างมาเป็นเกมก็ได้เช่นกัน โดยเกมที่เราหยิบมานำเสนอในตอนนี้ไม่ใช่เกมในซีรีส์ ‘Street Fighter’ ที่เรารู้จักแต่มันคือเกมที่สร้างมาจากภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันอย่าง ‘Street Fighter’ ที่นำแสดงโดย ฌ็อง-โกลด ว็อง ดาม (Jean-Claude Van Damme) มารับบท ผู้พัน ไกล์ (Guile) นายทหารหน่วยพิเศษที่ไปปราบองค์กร ‘Shadaloo’ ที่หมายจะครองโลก ตัวภาพยนตร์ได้เปลี่ยนตัวเอกจาก ริว (Ryu) มาเป็นไกล์และเพิ่มฉากแอ็กชันต่อสู้ลงไปมากกว่าเดิม แต่ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ลืมที่จะใส่ตัวละครจาก ‘Street Fighter ll’ มาแบบครบทุกคน ส่วนความสนุกของภาพยนตร์นั้นถ้าเราไม่คิดว่ามันคือภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม ‘Street Fighter’ ก็ดูสนุกเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อภาพยนตร์ออกฉายก็มีเกม ‘Street Fighter The Movie’ ออกมา โดยการนำนักแสดงในเรื่องมาเป็นตัวละครให้เราเลือกต่อสู้ ซึ่งถ้าดูผ่าน ๆ ก็คิดว่ามันคือเกม ‘Mortal Kombat’ ภาคแรก ๆ เลยทีเดียว แต่ความสนุกและน่าสนใจต่างกันมาก ทั้งการเคลื่อนไหวตัวละครที่ขาด ๆ เกิน ๆ แถมระบบการเล่นนั้นเรียกว่าห่างชั้นกับเกม ‘Street Fighter ll’ ที่เป็นต้นฉบับไปไกลมาก ตัวเกม ‘Street Fighter The Movie’ ไม่เหมาะกับการเอามาเล่นแต่เหมาะสำหรับเอามาสะสมมากกว่า ใครเป็นแฟนเกมนี้ไม่ควรพลาดหามาสะสม
Ghostbusters วางจำหน่าย 1984
เพิ่งจะปล่อยภาคล่าสุดออกมาเมื่อไม่นานมานี้กับ ‘Ghostbusters Afterlife’ เรื่องราวของรุ่นลูกรุ่นหลานนักปราบผีในตำนานที่คนยุคเก่ายังจดจำไม่เคยลืม กับเรื่องราวของบริษัทกำจัดผี ‘Ghostbusters’ ที่เป็นการผสมระหว่างเรื่องรางของการปราบผีด้วยเทคโนโลยี ที่เรียกว่าในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ และด้วยความโด่งดังเป็นพลุแตกจึงมีเกมในชื่อเดียวกันบนเครื่อง ‘Nintendo Entertainment System’ หรือ ‘NES’ ให้เราได้เล่นเป็นนักปราบผีตามในภาพยนตร์ โดยตัวเกมจะแบ่งการเล่นหลัก ๆ อยู่ 3 แบบคือโหมดขับรถหลบผีเพื่อไปยังจุดที่มีผีก่อความวุนวาย เมื่อไปถึงก็จะเข้าโหมดแกมยิงผีหน้าตึกเหมือนเกมยิงทั่วไป ก่อนจะเข้าสู่โหมดที่ 3 นั้นคือขึ้นบันไดหลบผี คุณต้องเล่นสามโหมดการเล่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเก็บแต้มที่เกมกำหนด เราจึงจะได้สู้กับหัวหน้าผีที่ก็มีหัวหน้าผีแค่แบบเดียว ที่ดูแล้วเหมือนจะน่าสนุกแต่ความจริงแล้วตัวเกมไม่มีความสนุกเลย ตัวเกมเหมือนไปลอกแบบเกมอื่น ๆ มาใส่ ถ้าจะเล่นเกมนี้สู้เอาเวลาไปดูภาพยนตร์ ‘Ghostbusters’ ปี 2016 ที่เขาว่าแย่เสียยังดีกว่านั่งเล่นเกมนี้เสียอีก
Top Gun วางจำหน่ายปี 1986
อีกหนึ่งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่กำลังจะมีภาคต่อให้เราได้ชมกับ ‘Top Gun Maverick’ กับเรื่องราวที่สานต่อมาจากภาคแรกที่ได้พระเอกตลอดกาลอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) มารับบทเป็นผู้ฝึกสอนนักบินรุ่นใหม่ รวมถึงลูกชายของเพื่อนรักที่เคยเสียชีวิตไปให้มาฝึกบิน ซึ่งคนที่เคยชมภาพยนตร์ในยุค 80s ต่างก็จดจำฉากสู้ด้วยเครื่องบินรบที่น่าสนุกตื่นเต้น จนทำให้มีเกมในชื่อเดียวกันออกมาบนเครื่อง ‘NES’ ที่วางจำหน่ายในปี 1986 กับรูปแบบการเล่นที่เหมือนกับในภาพยนตร์ ที่เราจะได้ขับเครื่องบินรบเพื่อไปทำภารกิจต่าง ๆ ซึ่งตัวกราฟิกที่เราเห็นนั้นเหมือนจะดูดี เพราะเราจะได้ควบคุมในเครื่องบินต่างกับเกมยานบินเกมอื่น แต่ความจริงแล้วเราแค่หันเป้าไปมาแล้วกดยิงเพียงเท่านั้น นอกนั้นตัวเกมจะบินไปเองทั้งหมด เรียกว่าตั้งแต่เครื่องบินขึ้นจนถึงลงเราแค่กดปุ่มเล็งเป้าและยิง ซึ่งตลอดทั้งเกมก็มีอยู่เท่านี้ซ้ำไปซ้ำมา จนคนในยุคนั้นรู้สึกผิดหวังเพราะแทนที่จะได้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังควบคุมเครื่องบินรบ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเกมยิงธรรมดาเท่านั้น
ใครอยากสัมผัสความยากเวลาเติมน้ำมันกลางอากาศ และความยากเวลาลงจอดก็ลองไปหามาเล่นกันได้ และอีกเกมที่แนวบังคับเครื่องบินในมุมมองบุคคลที่ 1 ที่น่าหาลองเล่นคือซีรีส์ ‘Ace Combat’ ซึ่งยังออกต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันครับ
Catwoman วางจำหน่าย 2004
เรียกว่าประสบความสำเร็จไปอย่างงดงามกับอัศวินแห่งรัตติกาลอย่าง ‘The Batman’ ที่ในภาคนี้เราก็ยังได้เห็นผู้ช่วยสาวสวยที่เป็น ‘Catwoman’ ปรากฏตัวในเรื่องเหมือนกับภาคอื่น ๆ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปในปี 2004 ได้มีการสร้างภาพยนตร์หนังเดี่ยวของตัวเองขึ้นมาในชื่อ ‘Catwoman’ ที่เป็นการตีความใหม่ให้เป็นฮีโรสายแมวที่ออกปราบเหล่าร้าย ตัวภาพยนตร์ถูกด่ายังตั้งแต่ชุดของ ‘Catwoman’ ไปจนถึงเนื้อเรื่อง ที่ถ้าคุณมีเวลาชั่วโมงกว่า ๆ เพื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้สู้เอาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า ขณะที่ตัวเกมก็แย่ไม่แพ้กัน เริ่มจากการควบคุม ‘Catwoman’ ที่เธอจะเดินแบบคนปกติไม่ได้เธอจะวิ่งสี่ขาแบบแมว พอเจอศัตรูก็จะเข้าไปอัดจนสลบแบบเกมแอ็กชันเดินหน้าอัดศัตรูไปเรื่อย ๆ ส่วนความสามารถพิเศษของเธอก็คือการไต่ผนังไปมา (แมวไต่ผนังเหมือนไอ้แมงมุม) โดยตัวเกมจะอ้างอิงเนื้อเรื่องตามในภาพยนตร์ ที่ถ้าคุณทนดูภาพยนตร์จนจบมาแล้วก็คงไม่มีอารมณ์อยากหาเกมมาเล่นต่อหรอก หรือถ้าอยากเล่นเป็น ‘Catwoman’ จริง ๆ ก็ไปหาเกม ‘Batman Arkham Knight’ มาเล่นดีกว่า เพราะเราจะได้เล่นเป็น ‘Catwoman’ ที่สนุกกว่านี้เยอะมาก ๆ
Bad Boys Miami Takedown วางจำหน่ายในปี 2004
เพิ่งถูกประกาศระงับการสร้างภาคที่ 4 ของภาพยนตร์คู่หูตำรวจสุดแกร่งอย่าง ‘Bad Boys’ ไปเมื่อไม่นานมานี้ เพราะกรณีของ วิลล์ สมิธ (Will Smith) ที่ไปตบหน้าพิธีกรในงานประกาศรางวัล ‘Oscar’ จนทำให้ภาพยนตร์ที่วิลล์ สมิธจะเล่นถูกระงับหมด รวมถึง ‘Bad Boys’ ภาคใหม่ที่ตอนจบใน ‘Bad Boys 3’ ได้ทิ้งเนื้อเรื่องภาคใหม่เอาไว้รอการสานต่อ ส่วนคนที่ไม่รู้ตัวภาพยนตร์ ‘Bad Boys’ จะเล่าถึงคู่หู่ตำรวจสุดปั่นแห่ง ‘Miami’ ที่ต้องช่วยกันสืบคดีต่าง ๆ ตัวภาพยนตร์ฉายเมื่อปี 1995 ส่วนภาค 2 ฉายปี 2003 ใครชอบแนวยิงสั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมถล่มถนนไม่ควรพลาด คราวนี้มาที่ตัวเกมกันบ้างที่ใช้ชื่อว่า ‘Bad Boys Miami Takedown’ ที่วางจำหน่ายในปี 2004 ที่เป็นเนื้อเรื่องใหม่ไม่ได้อ้างอิงจากในภาพยนตร์ โดยระบบการเล่นของเกมนี้ดูผ่าน ๆ แล้วจะคิดว่ามันคือเกม ‘GTA’ ฉบับไล่ยิง แต่เมื่อได้ลองเล่นอารมณ์ความรู้สึกกลับเหมือนการเอาเกม ‘Max Payne’ ภาคเก่าที่ตัดระบบ ‘Slow Motion’ ออกไปให้ เหลือพียงแค่เดินยิงกลิ้งหลบเท่านั้น ตัวเกมหาความสนุกแทบไม่เจอ ถ้าจะเล่นเกมนี้แนะนำให้ไปเล่น ‘GTA’ ไม่ก็ ‘Max Payne’ บนเครื่อง ‘PlayStation 2’ ดีกว่าสนุกกว่าเยอะ
Fight Club วางจำหน่าย 1999
หนึ่งในภาพยนตร์น้ำดีที่ขอแนะนำให้หลายคนไปหามาดู กับเรื่อง ‘Fight Club’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของชายผู้ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้เป้าหมาย จนวันหนึ่งเขาถูกชักชวนให้รู้จักสมาคมลับใต้ดินที่เรียกว่า ‘Fight Club’ ที่เป็นเหมือนเวทีต่อสู้ใต้ดิน แต่ความจริงแล้วมันคือหนึ่งในการบำบัดเยียวยาจิตใจผู้คน ผ่านการใช้กำปั้นต่อยกับคนแปลกหน้า ที่เหมือนเป็นการระบายความรู้สึกที่อัดอั้น ซึ่งนอกเหนือจากการต่อสู้ที่สนุกในเรื่องแล้ว เนื้อหาของภาพยนตร์ก็ยังลึกซึ้งน่าสนใจจนเราไม่อยากเปิดเผยตอนจบเลยทีเดียว แต่พอตัดมาที่เกมในชื่อเดียวกันที่วางจำหน่ายในปี 1999 ตัวเกมกลับสร้างออกมาเป็นเกมต่อสู้ที่ไม่มีความน่าสนใจเลย เพราะสิ่งที่เราได้เห็นในเกมนี้คือตัวละครที่ตรงตามในภาพยนตร์มาต่อสู้กันใน ‘Fight Club’ โดยที่คนสร้างเกมคงจะลืมไปว่า การสร้างเกมต่อสู้ขึ้นมาสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเอกลักษณ์ของตัวละครที่เราจะเล่น ซึ่งในเกมนี้มีเพียงผู้ชายหน้าตาบ้าน ๆ มาต่อยกัน แถมทุกคนก็มีท่าที่เหมือนกันยิ่งเล่นยิ่งหมดอารมณ์เล่นจนอยากคืนเงิน ใครที่คิดจะเล่นแนะนำให้ไปหาเกมต่อสู้อย่าง ‘TAKEN’ มาเล่นดีกว่า
Charlie’s Angels วางจำหน่ายปี 2003
หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีภาคใหม่มาให้เราชมได้เรื่อย ๆ กับสายลับสายสวยอย่าง ‘Charlie’s Angels’ ที่ภาคล่าสุดที่ฉายไปเมื่อปี 2019 ก็ได้รับเสียงตอบรับในทางลบแบบสุด ๆ กับเรื่องราวที่เอามาตีความใหม่ที่ไม่ถูกใจแฟนภาพยนตร์ แต่ในช่วง 2000 ‘Charlie’s Angels’ ในตอนนั้นค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะได้นักแสดงหญิงแถวหน้าอย่าง คาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) ดรูว์ แบร์รีมอร์ (Drew Barrymore) และ ลูซี หลุย (Lucy Liu) มารับบทสามสาว ‘Charlie’s Angels’ ที่บอกเลยว่าสนุกกว่าของปี 2019 มาก ๆ ส่วนตัวเกมก็ใช้ชื่อเดียวกับในภาพยนตร์ ที่หยิบเรื่องราวของภาคแรกมาทำเป็นเกมแอ็กชันอันแหลก โดยเราสามารถเลือก 3 สาวที่มีท่าทางการต่อสู้เหมือนกันมาลุยภารกิจต่าง ๆ ตามในภาพยนตร์ ซึ่งตลอดทั้งเกมนั้นเราทำเพียงกดปุ่มต่อยเตะและควบคุมทิศทางเพียงสามปุ่มตลอดทั้งเกม ซึ่งมันไม่มีความสนุกหรืออะไรเลย รวมถึงกราฟิกที่ตกยุคและถ้าไม่บอกว่าเกมนี้คือ ‘Charlie’s Angels’ คงจะคิดว่าทีมพัฒนาเอาคุณยายที่ไหนมาสู้อย่างแน่นอน ใครที่สนใจแนะนำให้หาภาพยนตร์มาดู ส่วนวิดีโอเกมนั้นสั้น ๆ คำเดียว “หนีไป”
E.T. วางจำหน่ายปี 1982
ปิดท้ายกับความหลอกหลอนเด็กในยุค 80s ถึง 90s ที่เชื่อว่าหลายคนในยุคนั้นคงไม่มีใครอยากมี อีที (E.T.) เป็นเพื่อนอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นตัวภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่ตกลงมาบนโลก ที่เด็ก ๆ ต้องช่วยมนุษย์ต่างดาวแขนยาวขาสั้นหน้าตาไม่เป็นมิตรตนนี้กลับดาว และแน่นอนว่าเมื่อภาพยนตร์ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ตัวเกมก็ต้องมีอย่างแน่นอนบนเครื่อง ‘Atari 2600’ ที่ก็ไม่รู้ว่าทางค่ายเกมไปเอาความมั่นใจอะไรมา ที่กล้าผลิตเกมนี้ออกมาหลักล้านตลับเพื่อวางขาย แต่สุดท้ายด้วยความไม่สนุกเล่นไม่รู้เรื่องของตัวเกม ที่ถ้าใครเคยเล่นหรือไปหาวิดีโอเกมนี้มาชมคุณจะงงว่าตัวเกมต้องการให้เราทำอะไรมีเป้าหมายแบบไหน เพราะเราจะได้เล่นเป็น ‘E.T.’ ที่หนีการตามล่าจากชายชุดดำไปสามสามฉากซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งความไม่สนุกของเกมนี้จึงส่งต่อแบบปากต่อปาก จนสุดท้ายมันก็ขายไม่ออกจนทางบริษัทต้องแอบเอาเกมนี้ไปฝังกลบจนกลายเป็นตำนานเล่าขานในวงการเกม และก็มีรายการทีวีช่องหนึ่งลงทุนไปหาข้อมูลจุดฝังตลับเกมนับล้านที่ขายไม่ออก และเจอตลับเกมนี้จำนวนมากถูกฝังอยู่จริง ๆ เรียกว่าเป็นเกมจากภาพยนตร์ที่เลวร้ายที่สุดในวงการเกมเลยทีเดียว
ก็จบกันไปแล้วกับ 8 ภาพยนตร์ชื่อดังในอดีตที่ถูกสร้างเป็นวิดีโอเกมที่คุณไม่ควรหามาเล่น โดยทุกเรื่องที่เราหยิบมานำเสนอนั้น คือภาพยนตร์ระดับตำนาน (ยกเว้น ‘Catwoman’ ที่เป็นตำนานด้านลบ) ที่ถ้ามีเวลาก็ควรไปหาภาพยนตร์เหล่านั้นมาชมกัน ส่วนวิดีโอเกมนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปหามาเล่นเลย แต่ถ้าอยากหามาสะสมก็ดูจะสมควรมาก ๆ เพราะหลายเกมนั้นจัดเป็นของหายาก เพราะความไม่สนุกของเกมในยุคนั้นที่พูดกันปากต่อปาก จึงทำให้เกมนั้น ๆ ขายไม่ดี มันจึงมีหลงเหลือในตลาดน้อยมาก ๆ ถ้าใครเจอ 8 เกมในบทความนี้ก็เก็บเอาไว้ได้เลย เพื่อว่าในอนาคตจะมีราคาก็ได้ใครจะรู้ ส่วนใครที่มีเกมที่สร้างจากภาพยนตร์ชื่อดังที่เล่นไม่สนุกเรื่องไหนอีกก็เอามาบอกกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับวงการเกมการ์ตูนก็ติดตามได้ที่นี่ที่เดียว รับรองไม่พลาดทุกข่าวสารวงการบันเทิงแน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส