ไมเคิล มัวร์ ชื่อนี้หลายคนไม่รู้จัก แต่หลายคนอาจเป็นแฟนตัวยงเลยล่ะ ซึ่งผมเองก็เป็นแฟนลุงแกอยู่เรียกได้ว่าถ้าหาดูหนังฉายโรงของแกได้ที่ไหนก็ตามไปดูหมด คืองานแกเนี่ยเข้าโรงเมืองไทยอยู่แค่เรื่องสองเรื่องเองมั้ง ถ้าจำไม่ผิดคือ หนังรางวัลออสการ์อย่าง Bowling for Columbine (2002) และรางวัลปาล์มทองคำอย่าง Fahrenheit 9/11 (2004) แถมยังเป็นการฉายแบบจำกัดโรงด้วย หนังที่เหลือก็มีเป็นดีวีดีขายในห้างบ้าง บางเรื่องต้องหาตามช่องทางพิเศษบ้าง หรืออย่างที่ผมแจ๊กพ็อตสุดเลยคงเป็นการเจอหนังเรื่อง The Big One (1997) งานชิ้นที่สองของแกในกระบะวีซีดีลดราคา!!

จึงเป็นโอกาสดีมากๆครับที่หนังเรื่องใหม่เรื่องล่าสุด หลังจากห่างหายไปนานถึง 6 ปี ของแก อย่าง Where To Invade Next ได้เดินทางมาสู่โรงหนังไทยโดยการนำเข้ามาของ Documentary Club ที่จัดหาหนังสารคดีแหล่มๆทั่วโลกมาให้เราดูอยู่เสมอเลย งานนี้ไม่ต้องผมเลยตะเกียกตะกายให้ลำบากชีวิตแบบเรื่องก่อนๆอีกละ ขอบพระคุณอย่างสูงจริงๆ

Play video

สำหรับ Where To Invade Next เป็นเรื่องราวที่จั่วหัวได้มันเช่นเดิมสไตล์สารคดีจิกกัดอเมริกาของไมเคิล มัวร์ เพราะแกเสียดสีว่าเหล่ากองทัพอเมริการู้สึกว่าหลังสงครามโลกมาจะทำการรบที่ไหนก็แพ้มาตลอดเลย แถมบางทีถึงจะดุเหมือนชนะอย่างในอิรัก แต่ก็ดันไม่ได้ทรัพยากรที่อยากฉกฉวยมา แถมดันไปสร้างภัยคุกคามใหม่ๆอย่าง ISIS ให้กวนใจอีกต่างหาก ก็เลยมาขอร้องเฮียมัวร์แกว่า ป๋าช่วยพวกป๋มหน่อยเถอะ ป๋าแกก็ชอบอยู่ละเลยบอกว่า งั้นพวกทหารหาญทั้งหลายจงพักผ่อนซะ เดี๋ยวแกจะไปบุกประเทศต่างๆแล้วไปฉกฉวยสิ่งดีๆสิ่งล้ำค่าของประเทศเหล่านั้นมาเอง และนี่ก็เป็นเหตุแบบกวนๆให้แกข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยือนประเทศต่างๆของพวกคนขาวในยุโรปและแอฟริกา เพื่อไปขโมยของดีของประเทศเหล่านั้นกลับมา

เหล่านายพลที่มัวร์อ้างว่ามาขอร้องเขาให้ไปช่วยรบแทนทีเถอะ กวนๆตามสไตล์ไมเคิล มัวร์ล่ะนะ

เหล่านายพลที่มัวร์อ้างว่ามาขอร้องเขาให้ไปช่วยรบแทนทีเถอะ กวนๆตามสไตล์ไมเคิล มัวร์ล่ะนะ

โดยของดีที่ว่าก็ไม่ใช่น้ำมัน หรืออะไรเทือกนั้นหรอก แต่คือแนวคิดในการพัฒนาสังคม ที่ประเทศที่เจริญแล้วจริงๆเขาทำกัน ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดสวัสดิการแรงงานใน อิตาลี ที่ให้คนงานลาหยุดแบบได้เงินเดือนถึงปีละ 8 สัปดาห์โดยเจ้าของกิจการยังบอกว่าทำให้ได้ผลประโยชน์กับบริษัทมากขึ้นด้วยนะ!! แนวคิดการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกอย่างใน ฟินแลนด์ ที่ไม่ให้เด็กต้องทำการบ้านแถมยังไม่จัดการประเมินบ้าบออย่างการทดสอบระดับชาติโอเน็ตเอเน็ตใดๆทั้งสิ้น แถมให้เด็กเรียนแค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้มีเวลาพัฒนาศักยภาพในด้านอื่นๆอย่างภาษาที่สามสี่ กีฬา ดนตรีเป็นต้น และที่สำคัญทุกโรงเรียนต้องฟรีหมดและดำเนินการโดยรัฐ ห้ามมีโรงเรียกเอกชน ด้วยเหตุผลว่าไม่เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน แถมยังทำให้พวกพ่อแม่รวยๆต้องลงทุนในโรงเรียนรัฐเหล่านี้แทน ซึ่งส่งผลดีกับลูกๆตาสีตาสาธรรมดาด้วย และที่ล้ำสุดๆคือเขามองว่าการที่ให้เด็กรวยและจนได้เรียนร่วมกันเป็นเพื่อนกัน จะทำให้เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นเจ้าคนนายคนเป็นเจ้าของกิจการ เวลาจะโกงหรือเอาเปรียบแรงงานหรือคนที่ฐานะด้อยกว่าก็จะรู้สึกละอายใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้นด้วย!!! (ผมว่ากระทรวงศึกษาไม่ต้องเสียเงินไปดูงานต่างประเทศหรอก เสียตังค์คนละไม่ถึง 200 บาทดูหนังเรื่องนี้ก็พอแล้วล่ะ 555)

สองสามีภรรยาชาวอิตาลี ที่โดนมัวร์บุกยึดเอาไอเดียดีๆกลับประเทศ โดยขอปักธงชาติอเมริกาในห้องพักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ายึดครองแล้วนะ 555

สองสามีภรรยาชาวอิตาลี ที่โดนมัวร์บุกยึดเอาไอเดียดีๆกลับประเทศ โดยขอปักธงชาติอเมริกาในห้องพักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ายึดครองแล้วนะ 555

ในด้านความกวนก็ยังคงเส้นคงวาตามสไตล์เฮียมัวร์แกเช่นเดิม อย่างในตอนหนึ่งเฮียแกไปประเทศสโลเวเนีย แกก็แซวว่านี่คือประเทศที่โดนส่งจดหมายผิดไปประเทศสโลวาเกียมากสุดๆ (คือแบบไม่มีใครรู้จักอ่ะ อารมณ์เข้าใจว่าไทยแลนด์ เป็นไทเป ไต้หวันแบบนั้น 555) แกก็พาไปดูมหาวิทยาลัยที่นี่ว่าเรียนฟรีหมดนะ คนที่นี่ไม่รู้จักหนี้การศึกษาแบบ กยศ.บ้านเราเลยนะ (คืออเมริกาหนักข้อกว่ามากคือส่วนใหญ่คนเรียนจบป.ตรีเป็นหนี้การศึกษาคนละหลายพันดอลลาร์โดยที่ยังไม่มีงานทำทั้งนั้นล่ะ ตรงนี้แกเล่นไว้เยอะมากในหนังเรื่องก่อนหน้าอย่าง Capitalism: A Love Story (2009) ลองหาชมนะมีดีวีดีลิขสิทธิ์ไทยขายอยู่น่าจะพอหาได้)

คราวนี้แกก็บอกว่าแต่จะบอกคนที่นี่ไม่มีหนี้การศึกษาเลยก็ไม่ถูก เพราะแกไปเจอมาอยู่คน จากนั้นแกก็ไปสัมภาษณ์หนุ่มน้อยนักศึกษาหน้ามนคนหนึ่งซึ่งปรากฏว่า ไอ้เด็กนี่เป็นคนอเมริกันที่ทนแบกหนี้การศึกษาไม่ไหวเลยหนีมาเรียนที่นี่แทน 555 แล้วแกก็เลยไปถามอธิการบดีประมาณนั้นถึงเรื่องการศึกษาที่นี่ เขาก็เล่าว่าก็เหมือนๆกับที่อเมริกาล่ะคอร์สภาษาอังกฤษมีเยอะมาก แถมภาษาสโลเวเนียก็แทบจะเหมือนภาษาอังกฤษล่ะ แต่เขามีแค่ 25 ตัวอักษร ตัดตัว W ออกไป มัวร์ก็ถามกวนๆว่า ที่ตัด W ไปนี่เกิดขึ้นเพราะประธานาธิบดี George W. Bush ป่าว? 555 (คือแกเกลียดชาตินิยมสงครามแบบพ่อลูกบุชมากๆน่ะ เรียกว่าด่าในหนังทุกเรื่องของแกเลยล่ะ 55)

หน้าแบบไม่เชื่อหุตัวเองของ รมต.ศึกษาของฟินแลนด์ ตอนที่ได้รู้ว่าอเมริกาเขาจัดการเรียนการสอนปฐมวัยยังไง เชื่อว่าถ้าเธอรู้ของประเทศไทยก็คงทำหน้าแบบเดียวกัน 555

หน้าแบบไม่เชื่อหูตัวเองของ รมต.ศึกษาของฟินแลนด์ ตอนที่ได้รู้ว่าอเมริกาเขาจัดการเรียนการสอนปฐมวัยยังไง เชื่อว่าถ้าเธอรู้ของประเทศไทยก็คงทำหน้าแบบเดียวกัน 555

คือต้องยอมรับว่า ถึงเรื่องนี้จะไม่กวนบาทาฉูดฉาดเปรี้ยวจี๊ดอย่างเรื่องที่ผ่านๆมาตามวัยที่สูงขึ้นของแก แต่นั่นก็ทำให้ได้มาซึ่งการเล่าเรื่องที่ทั้งคมทั้งฉลาดทั้งแสบสันสุดๆมาแทนล่ะนะ แล้วหลายๆประเทศที่แกไปเยี่ยมแม้จะดูดีมากๆจนเรายังสงสัยว่ามันจะดีได้จริงขนาดนั้นเรอะ เฮียแกก็พูดชัดเจนว่า แต่ละประเทศก็มีปัญหาของตนเองทั้งนั้นล่ะนะ แต่แกมาเพื่อเลือกขโมยดอกไม้ ไม่ใช่เก็บวัชพืช ดังนั้นก็จะเสนอแต่ส่วนดีๆที่น่าเอาไปใช้

ตรงนี้เล่าเป็นน้ำจิ้มๆพอ เพราะคิดว่าการได้เข้าไปดูแนวคิดดีๆของชาวโลก และได้คิดถึงตัวเราเองไปด้วยย่อมจะได้อะไรมากกว่าแน่ๆ ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าถึงหนังจะทำออกมาเน้นให้คนอเมริกัน ให้รัฐบาลอเมริกัน ให้กองทัพอเมริกันดูก็ตาม แต่หลายๆอย่างในนั้นมันตบหน้าพวกเราคนไทยแบบย้ำๆได้เรื่อยๆจนจบเลย ใจหนึ่งก็รู้สึกดีนะที่ว่าอเมริกาก็ไม่ได้เยี่ยมที่สุดเมื่อเทียบกับเรา แถมบางเรื่องเราดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ถามว่าในฐานะประชากรของโลกที่มีคุณภาพอย่างที่ปรากฏในหนัง อย่างพวกประเทศทั้งที่เจริญแล้วอย่างสวิตเซอร์แลนด์เอย ฝรั่งเศสเอย ไอซ์แลนด์เอยเนี่ย และบางประเทศที่เราแทบไม่รู้จักชื่อเลยอย่างสโลเวเนียที่เขาเป็นกันน่ะ บอกตรงๆเรายังโคตรห่างไกลจากจุดนั้นเลย

ไม่ใช่แค่เอาคำพูดลูกจ้างมาอ้าง มัวร์แกสัมภาษณ์ทุกกลุ่มจริงๆ อย่างในภาพนี่คือ CEO ของโรงงานผลิต Ducati เลยนะ หรือจะประธานาธิบดีของประเทศแกก็ไปหามาแล้ว ต้องไปดูในหนังล่ะนะ

เพื่อหาไอเดียที่เอามาใช้ได้จริง มัวร์ไม่ใช่แค่เอาคำพูดลูกจ้างมาอ้าง มัวร์แกสัมภาษณ์ทุกกลุ่มจริงๆ อย่างในภาพนี่คือ CEO ของโรงงานผลิต Ducati เลยนะ หรือจะประธานาธิบดีของประเทศแกก็ไปหามาแล้ว ต้องไปดูในหนังล่ะนะ

คือดูๆไปเนี่ย เราจะรู้สึกว่าตัวเองนี่โง่ชะมัดที่มัวแต่เอาตัวเองไปเทียบกับประเทศอื่นๆที่เขาแย่กว่าเราในบางเรื่องให้ตัวเองรู้สึกดีรู้สึกว่าที่เป็นอยู่มันก็โอเคนะ คือหลอกตัวเองไปวันๆมากๆ หรือที่เรามัวมาทะเลาะเรื่องงี่เง่าๆกับเพื่อนบ้านบ้าง ตามดราม่าในเน็ตบ้าง แทนที่จะมองเป้าหมายถึงการเป็นประเทศที่เจริญทั้งวัตถุและจิตใจจริงๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีจริงๆ มีบุคลากรที่มีคุณภาพจริงๆ มองเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ เห็นความเท่าเทียมและขจัดความแตกต่างทางความคิดจริงๆได้เนี่ย มันไม่ใช่อะไรที่เราทำอยู่เลย (แต่เราพูดลอยๆถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเราจะเป็นๆกันตลอดเลยนะ)

และหนังไม่เพียงให้เรารู้สึกโง่ในจุดที่ว่าเราเป็นอยู่นี้เท่านั้นนะ ตามสไตล์หนังมัวร์แล้วเฮียแกมักจะปลุกปั่นจิตใจคนดูให้กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย ตรงนี้บอกเลยดูจบอยากจะลุกตะโกนขึ้นมาเราจะไม่ทนกับสังคมแบบนี้แล้วเฟร้ย อยากจะออกไปทำไรก็ได้ให้มันดีขึ้น หรืออย่างน้อยสุดก้ชวนใครสักคนให้เขาไปดูหนังเรื่องนี้ นี่คิดไปถึงขนาดว่าถ้าแต่งงานมีลูกตูจะไม่ยอมให้ระบบการศึกษาไทยๆมาทำลายต้นกล้าของประชากรโลกที่มีคุณภาพในอนาคตอย่างลูกเราเด็ดขาด แทนที่จะพาไปเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์เพื่อทำข้อสอบให้ผ่าน เราน่าจะมองไปถึงการเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงที่ถึงข้อสอบจะไม่มีตัวเลือกให้เขาก็จะคิดคำตอบปลายเปิดได้อย่างสร้างสรรค์และไม่เลื่อนลอยได้อะไรแบบนั้นเลยนะ

MV5BMjIxMTAzNTcwN15BMl5BanBnXkFtZTgwODc3OTM0NzE@._V1_

สรุป

ใครกลัวหนังสารคดีว่ามันไม่สนุกสาระเยอะไปไม่ชอบ อยากบอกว่าหนังเฮียมัวร์เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่คุณจะสนุกกับหนังสารคดีมากๆเพราะมันกวน และตลกร้ายได้เมามันสุดๆ ถึงจะมีช่วงหนึ่งที่เราจะรู้สึกว่า เฮ้ย รู้แล้วเปลี่ยนไปเล่าเรื่องอื่นซะทีบ้างก็เถอะ (ความรู้สึกนี้จะมีสักช่วงในหนังแกทุกเรื่องอ่ะที่มันอืดๆลงนิดหลังจากหวือหวามาตลอด) แต่ขอให้ทนนิดเดียว พอแกขมวดปม เราจะอ่อเลยว่าเออเข้าใจละว่าทำไมเสียเวลาเล่าไปขนาดนั้น แล้วมันซาโตริรู้แจ้งเลยเข้าใจประเด็นแกเลย ซึ่งมันฟินมากๆนะ

แล้วหนังเรื่องนี้เหมาะกับใครอีก สำหรับใครที่เชื่อว่าเรามีศักยภาพที่ดีได้มากกว่านี้ก็ควรดูนะ และใครที่เชื่อว่าที่เป็นอยู่นี้มันดีพอแล้วประเทศเราแค่นี้ก็พอถมถืดดีกว่าใครๆแล้ว คุณคือกลุ่มคนที่สมควรดูหนังเรื่องนี้ที่สุดเลยครับ ต้องลองไปเห็นสวรรค์จริงๆนอกประเทศเราบ้างครับว่าถ้าเรากล้าทำให้มันดีกว่าเดิมๆ เราจะได้รับอะไรดีๆจริงๆได้อีกมากขนาดไหน

นี่ไม่ใช่เพียงหนังที่คนอเมริกันควรดู แต่เป็นหนังที่คนไทยควรดูมากๆ และถ้าให้พูดให้ถูกที่สุดคือคนที่พร้อมเป็นประชากรดีๆของโลกควรดูมาก ถึงมากที่สุดครับ หนังเข้าฉายแบบจำกัดโรงตั้งแต่พฤหัสบดีนี้ไป ติดตามเพิ่มเติมได้ที่เพจ Documentary Club หรือเช็กรอบกับทางเครือ SF ได้เลยครับ