งานหนังเพลงที่เข้าบ้านเราชิ้นที่ 3 ของ จอห์น คาร์นี่ย์ ผู้กำกับขวัญใจคอดราม่าโรแมนติกที่มีเอกลักษณ์ตรงเพลงในหนังเพราะทุกเรื่องจริงๆ ตั้งแต่งานอินดี้สร้างชื่อที่คว้ารางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมจากออสการ์ อย่างเพลง Falling slowly ใน Once (2007) และยกระดับสู่การเป็นผู้กำกับฮอลลีวู้ดเต็มขั้นด้วยดาราแม่เหล็กเทพๆทั้ง Keira Knightley (ที่เพิ่งมีดราม่า ที่คาร์นี่ย์ไปวิจารณ์การแสดงของเธอซะยับไป) Mark Ruffalo และเซอร์ไพรส์สุดๆ กับนักร้องแถวหน้าของโลก Adam Levine ที่เล่นแบบไม่สนค่าตัว ใน Begin again (2013) เรื่องนี้ก็ส่งเพลง Lost Stars ฮิตติดลมบนในหลายประเทศโดยเฉพาะในบ้านเรานี่ช่วงนั้นได้ยินเพลงนี้ทุกที่จริงๆ พอมีหนังใหม่ของเฮียคาร์นี่ย์เข้าไทยมา สำหรับคอหนังรักหนังเพลงนี่เรียกว่าพลาดไม่ได้จริงๆ
Sing Street ว่าด้วยเรื่องในปี 1985 ของ คอร์เนอร์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปีในดับบลิน ไอร์แลนด์ ที่ชีวิตเกิดพลิกผันสุดขั้วเมื่อที่บ้านเกิดถังแตก พ่อแม่ก็ทะเลาะกันบ่อยและดูเหมือนจะแยกทางกันอยู่รอมร่อ ส่วนพี่ชายที่เขาบูชาและชักนำเขาสู่โลกของเพลงร็อกแอนด์โรลก็เป็นเพียงเด็กที่ออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันและเก็บตัวอยู่กับบ้าน และตัวเขาเองก็ต้องย้ายโรงเรียนจากที่เรียนเอกชนดีๆมาโรงเรียนคริสต์ที่รวมเด็กมีปัญหาใกล้ๆ บ้านอย่าง Synge Street แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวนะ เพราะที่นี่ทำให้เขาพบ ราฟิน่า เด็กสาวสุดสวยที่แก่กว่าเขา 1 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ตรงข้ามโรงเรียน ด้วยความกล้าหรืออะไรไม่ทราบได้เขาเดินตรงไปหาเธอและชวนเธอมาเป็นนางเอกเอ็มวี ทั้งๆ ที่เขายังไม่มีวงด้วยซ้ำ!! เรื่องราวหลังจากนี้ก็น่าจะพอเดาได้คือเขาต้องไปรวบรวมสมาชิกวงจากเด็กมีปัญหาทั้งหลาย และทำเพลงเพื่อให้ ราฟิน่า มาเป็นนางเอกให้ได้ แม้พล็อตจะไม่ได้ใหม่อะไรมาก แต่บอกเลยว่าหนังเล่าได้สนุกและมีสเน่ห์เอามากๆ เลยล่ะ
งดงามเพราะชีวิตมัน แฮปปี้แซด? ไงล่ะ
ราฟิน่า ได้แนะนำ คอร์เนอร์ ในเรื่องการเขียนเพลงว่าต้องเข้าใจความรักว่ามันเป็นเรื่องแบบหวานขม ทั้งเศร้าทั้งสุข จุดนี้เองที่ตัวละครของเราเริ่มมีพัฒนาการอย่างน่าสนใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของดนตรี แต่มันคือการเข้าใจชีวิต คือการที่คอร์เนอร์ต้องเผชิญกับ บ้านที่แตกแยก บาทหลวงครูที่กฏระเบียบเข้มอย่างไร้เหตุผล เพื่อนในโรงเรียนทีคอยรังแกคนอ่อนแอกว่าอย่างเขา และการเป็นลูซเซอร์ในทุกทางที่ได้กล่าวมา คอร์เนอร์ต้องเรียนรู้ว่าการเผชิญสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การหนีอย่างที่เขาเคยทำ แต่เป็นการลุกขึ้นแอ่นอกยิ้มยอมรับถึงความไม่ยุติธรรมของโลกนี้ที่ว่าถึงมันจะเศร้าแต่เราก็มีความสุขได้ เพราะนั่นล่ะคือชีวิต
ด้วยอุปสรรคและพัฒนาการตัวละครแบบนี้ ทำให้หนังมีรายละเอียดสนุกๆ และน่าสนใจตลอดเรื่องเลย มันให้อารมณ์นอสตัลเกียแบบ แฟนฉัน ผสม ซักซี้ด นะถ้าจะพูดถึงหนังไทยแบบใกล้เคียง แต่ปัญหาที่ตัวละครเจอในหนังเอาจริงๆ ก็หนักกว่าล่ะ แต่เล่าแบบใสๆ ฟีลกู้ดๆ และก็เล่าได้เป็นผู้ใหญ่กว่ามาก อันนี้ใครแฟนสองเรื่องนั้นแนะนำว่าให้โอกาสตัวเองไปสัมผัสเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดาของหนังเรื่องนี้กัน
เพลงเพราะ
ตรงนี้ต้องพูดเลยล่ะ ว่าแม้จะเป็นหนังที่ใช้ธีมร็อกแอนด์โรลยุค 80s แต่บอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะชอบเพลงยุคนั้นหรือไม่ แต่เพลงในหนังเรื่องนี้มันก็ยังโคตรเพราะอยู่ดีล่ะ คือใครสาย 80s เพียว คุณก็จะได้ฟังเพลงจากวงหลักๆ ของบริเทนยุคหลังเดอะบีทเทิ้ล หลายต่อหลายเพลงเลยที่มีบทบาทในช่วงฝึกฝนของตัวเอก ไม่ว่าจะเป็น Stay Clean ของ Motörhead, Rio ของ Duran Duran, Town Called Malice ของ The Jam หรือ Inbetween Days ของ The Cure ก็ตาม ตรงนี้คงมาจากความทรงจำวัยเด็กของผู้กำกับล่ะนะ เพราะเน้นหนักมาจากเพลงฝั่งอังกฤษกันแบบเพียวๆ เลย
ส่วนใครไม่ใช่สายเพียว ต้องบอกว่าเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เพื่อใช้ในหนังเรื่องนี้นี่คือพระเอกตัวจริงเลยล่ะ ได้อารมณ์แบบร่วมสมัยมากไม่เก่าไม่เชยเลยสักนิด ไม่ว่าจะ The Riddle Of The Model เพลงแรกที่คอร์เนอร์แต่งที่สื่ออ้อมๆ ถึงราฟิน่าที่อยากเป็นนางแบบ เพลง A Beautiful Sea ที่เริ่มมีลูกเล่นมากขึ้น เพลงที่พูดถึงความซับซ้อนของเหล่าเด็กสาวที่เข้าใจยากเสียเหลือเกินอย่าง Girls หรือเพลงตัวโปรโมทหนังอย่าง Drive It Like You Stole It ที่ทั้ง 4 เพลงเน้นอารมณ์แบบร็อกแอนด์โรลที่มีจังหวะแบบสนุกๆ ได้กระดิกเท้าแบบไม่รู้ตัว
ส่วนที่พลาดไม่ได้ในหนังเพลงของคาร์นีย์คงเป็นเพลงบัลลาด ที่แบบกินใจมากๆและเรียกได้ว่าคือไฮไลท์พิฆาตใจคนดูในโมเม้นท์สำคัญๆของหนังเลยล่ะ มารอบนี้มีหลายเพลงทีเดียวที่น่าฟังทั้ง Up บัลลาดที่มีจังหวะกลางๆ บอกเล่าความประทับใจที่ราฟิน่าทำให้ คอร์เนอร์รู้สึกมีพลังเหมือนลอยสูงขึ้นได้และเขาเองก็อยากให้กำลังใจเธอให้รู้สึกดีขึ้นจากเรื่องแย่ๆด้วย ซึ่งก็ถูกใช้บ่อยครั้งในหนัง To Find You เพลงไม้ตายในหนังเลยล่ะ หวานมากๆต้องเข้าไปฟังกันในโรงนะ ลองหาในยูทูบมีแต่เวอร์ชั่นคัฟเวอร์ซึ่งบอกเลยไม่ได้อารมณ์เท่ากับดูในหนังเลยสักนิด อันนี้แนะนำ สุดท้ายอีกหนึ่งเพลงโปรโมทกับ Go Now เพลงบัลลาดที่เล่นแบบช้าๆหวานๆก่อนจะระเบิดพลังในช่วงฮุค ผลงานจากศิลปินสุดเลิฟอย่าง Adam Levine ที่ตามมาทำเพลงนี้ให้หนังของคาร์นี่ย์ต่อ เรียกว่า 3 เพลงนี้โดนสุดๆเลย แนะนำว่าต้องฟังในโรงนะแจ๊ะ
ตรงนี้เป็นมนต์สเน่ห์ของเพลงแบบคาร์นีย์นะ เพราะมันแฝงความใสความสดมากๆ บางครั้งก็ดิบมากๆ แต่เข้าถึงใจเราได้แบบเต็มๆเลย เพราะมันจะมาในโมเม้นท์ที่ธรรมชาติมากๆอย่าง เล่นสดในร้านขายเครื่องดนตรีใน Once เล่นสดตามข้างถนนใน Begin again หลายทีคุณภาพมันไม่ใช่ระดับสตูดิโอมิกซ์หรอก แต่ด้วยการพามาของหนัง อารมณ์แบบสดๆของนักร้องนักแสดง ณ ตรงนั้น มันเป็นอะไรที่ตราตรึงใจมากทีเดียว
สนุกครบรส
หนังหลากอารมณ์มาก แต่โดยรวมสนุกและน่ารักเอามากๆ อย่างที่บอกมันมีฐานความดราม่าเป็นพื้นหนักนะ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาที่โรงเรียนของตัวเอก หรือปัญหาของตัวละครแต่ละตัวที่ต่างๆกันไป เรียกว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์เลย ตรงนี้เราเลยได้เห็นว่าแต่ละคนเติบโตกันอย่างไร ด้วยความเป็นเด็กมันเต็มด้วยพลังที่จะกรุยสู้ไปแบบไม่สนข้อจำกัด มันเลยน่ารักมากๆด้วยความอินโนเซ้นท์ของพวกตัวละครนี้ล่ะ บางช่วงอย่างตอนถ่ายทำเอ็มวีแรกนี่ขำมากๆ มีอะไรให้อมยิ้มได้ตลอดทาง ช่วงที่ดราม่าก็ซึ้งจนเราน้าตาปริ่มเลย แล้วมันมีอะไรให้เซอร์ไพรส์คนดูตลอด มันเลยไม่น่าเบื่อ และเราก็อยากเชียร์พวกเด็กๆพวกนี้ด้วยสิ คือคาร์นี่ย์เก่งมากที่ทำตัวละครให้น่าจดจำและมีสเน่ห์มากๆแบบนี้ ประทับใจ อุ่น ซึ้ง หวาน อมยิ้ม กินใจครับ
สรุป
เรื่องนี้พี่เชียร์เลยครับ หาโอกาสไปตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ได้เลย 30 มิถุนายนนี้ครับ