เชื่อว่าหลายคนที่ติดใจกับเรื่องราวของนักล่าเงินรางวัลกับโยดาน้อย ใน ‘The Mandalorian’ และความเป็นมาของ โบบา เฟตต์ (Boba Fett) ใน ‘The Book of Boba Fett’ ไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องราวหลักที่เกี่ยวกับเหล่าอัศวิน ‘Jedi’ กันเสียที แถมยังเป็นเนื้อเรื่องที่ต่อจากจักรวาลหลักเสียด้วย กับซีรีส์ ‘Star Wars Obi-Wan Kenobi’ ที่บอกเล่าเรื่องราว 10 ปีหลังจาก ‘Star Wars Episode III Revenge of the Sith’ กับการเดินทางหลบซ่อนของ โอบีวัน เคโนบี (Obi-Wan Kenobi) บนดาว ‘Tatooine’ เพื่อเฝ้าดูเด็กน้อย ลุค สกายวอล์คเกอร์ (Luke Skywalker) อยู่ห่าง ๆ และเพื่อให้หลายคนได้ดูซีรีส์สนุกขึ้น วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของโอบีวันมานำเสนอ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย
Obi-Wan Kenobi ในวัยเด็ก
เริ่มต้นเรื่องแรกที่หลายคนอาจจะไม่ทราบมาก่อน ว่าตัวของ โอบีวัน เคโนบี (Obi-Wan Kenobi) นั้นเกิดและเติบโตขึ้นบนดาว ‘Stewjon’ ที่มีบรรยากาศและธรรมชาติคล้ายโลก ซึ่งตัวของโอบีวันนั้นคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ สมัยเด็กก่อนเข้าวิหาร ‘Jedi’ เพื่อฝึกนั้น โอบีวันเป็นเด็กชอบการเดินทางผจญภัยและไม่ชอบทำตามกฎ ที่แม้จะเข้ามาสู่การฝึกแล้วเขาก็มักจะแหกกฎและทำเรื่องเสี่ยง ๆ เสมอ ซึ่งสิ่งแรกที่โอบีวันต้องเรียนรู้คือการอยู่ในกฎระเบียบ โดยจะมีเพียง อาจารย์โยดา (Yoda) และสภา ‘Jedi’ เท่านั้นที่โอบีวันเคารพเชื่อฟัง นอกนั้นเขามักจะทำตามความคิดและรู้สึกของตนเอง จนไม่มีอาจารย์ ‘Jedi’ คนไหนอยากรับเป็นศิษย์ มีเพียง ไควกอน จินน์ (Qui-Gon Jinn) เท่านั้นที่รับโอบีวันมาเป็นศิษย์ ซึ่งในตอนแรกไควกอนก็ไม่คิดจะรับโอบีวันเป็นศิษย์ เพราะตัวของเด็กชายมีโทสะมากเกินไปจนมีโอกาสที่จะหันไปหาด้านมืด จนสุดท้ายโชคชะตาก็เป็นใจให้ทั้งคู่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ซึ่งผิดกับที่เราเห็นในภาพยนตร์ที่โอบีวันจะเป็นคนใจเย็น มักจะเลือกเจรจามากกว่าการบุกเข้าใช้กำลัง แต่เมื่อโอบีวันต้องมาเป็นอาจารย์ของ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (Anakin Skywalker) ที่เป็นเหมือนตนในอดีต ที่มักจะใจร้อนอัดก่อนถามทีหลังไม่ทำตามกฎ ก็ทำเอาโอบีวันรู้สึกผิดที่ตัวเองเคยดื้อหัวรั้นในอดีตเหมือนกัน
การเป็น Padawan ของ Qui-Gon Jinn
เมื่อโอบีวันมาเป็น ‘Padawan’ หรือลูกศิษย์ของไควกอน สิ่งแรกที่อาจารย์ ‘Jedi’ คนนี้ทำคือการดัดนิสัยเลือดร้อนหุนหันคู่ไปกับการทำสมาธิพร้อมคำสอนให้โอบีวันเรียนรู้ว่า ความแข็งแกร่ง ความมีเกียรติ และการยับยั้งชั่งใจ คือสิ่งสำคัญที่โอบีวันควรมี ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงแรกที่มาเป็นลูกศิษย์ของไควกอน เด็กหัวดื้ออย่างโอบีวันไม่สามารถทำได้ แต่ด้วยประสบการณ์ต่อสู้ที่อยู่ร่วมกับไควกอนมานาน จึงทำให้เด็กหนุ่มเรียนรู้ทั้งสามสิ่งนั่นคือการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งในวิชาดาบ มีความให้เกียรติสภา ‘Jedi’ เคารพในคู่ต่อสู้ และสิ่งสุดท้ายคือการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่โอบีวันทำได้ดีที่สุดจนทำให้เขาเป็นหนึ่งใน ‘Jedi’ ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในสภา ซึ่งกว่าจะมาถึงตรงนั้นไควกอนต้องปวดหัวกับศิษย์คนนี้มาก จนกลายเป็นว่าโอบีวันมีทั้งสามสิ่งนี้มากเกินไป จนทำให้เขาอยู่ในกรอบที่จะเชื่อฟังจนคิดในสิ่งที่สมควรไม่ได้ไปเสียอย่างนั้น ซึ่งดูได้จากภาพยนตร์ภาคแรกที่ไควกอนจะชี้แนะโอบีวันเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับความคิดในกรอบมากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งไควกอนรู้สึกผิดที่ชี้แนะศิษย์ไปในทางนั้นจนเกินไป หรือจะดูได้จากที่โอบีวันไปสู้กับอนาคินทันทีเมื่อรู้ว่าเขาเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่ลังเล
Anakin Skywalker จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่จุดจบของ Obi-Wan
เรียกว่าจุดเริ่มต้นของจุดจบที่แท้จริง นับตั้งแต่ที่ไควกอนไปเจอเด็กชายบนดาวทะเลทรายและรับเด็กชายอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ มาดูแล และคิดจะฝึกเขาเป็น ‘Jedi’ ซึ่งไควกอนคิดว่าอนาคินคือผู้นำสมดุลมาสู่พลัง ซึ่งทางฝั่ง ‘Jedi’ มีคำทำนายว่าสุดท้ายจะมีผู้แข็งแกร่งมาคืนสมดุลมาสู่พลังให้สงครามระหว่างความดีและความชั่วยุติลง ซึ่งตัวของโอบีวันไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไควกอนคิด แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นเพียงลูกศิษย์จึงไม่สามารถคัดค้านได้ ซึ่งแม้แต่ทางสภา ‘Jedi’ ก็รู้ว่าโอบีวันไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายทางสภาก็ต้องรับอนาคินมาฝึก เพราะโอบีวันไปสัญญากับไควกอนว่าจะรับหน้าที่ฝึกอนาคินให้เป็น ‘Jedi’ แม้ทางสภาจะไม่เห็นด้วย ซึ่งนั่นกลับกลายเป็นว่าทางสภา ‘Jedi’ คิดถูกในการคัดค้านซึ่งสิ่งนี้ ที่กลายเป็นตราบาปของโอบีวันที่ไม่สามารถฝึกอนาคินในทางที่ถูกต้องและหันเข้าหาหนทางสู่ด้านมืดในที่สุด จนเมื่อโอบีวันได้ฝึกฝนลูกชายของอนาคินในช่วงสั้น ๆ จึงรู้ว่าตนเองนั้นไม่สามารถเรียกจิตใจของอนาคินมาได้ แต่ลูกชายของเขาสามารถทำได้ถ้าผ่านการฝึกมาอย่างดี โอบีวันจึงยอมจบชีวิตลงและเฝ้าดูเด็กน้อยให้เดินในทางที่ถูกต้องที่เราเห็นในภาพยนตร์
Obi-Wan ในฐานะอาจารย์
หลังจากที่โอบีวันขึ้นมาเป็นอัศวิน ‘Jedi’ เต็มตัว สิ่งที่เขาทำตั้งแต่ก้าวแรกในฐานะอาจารย์คือการฝึกสอนอนาคินตามคำสั่งเสียของไควกอน โดยในช่วงปีแรกที่โอบีวันฝึกอนาคินนั้นเขามักจะลุกขึ้นมาดูลูกศิษย์ของตน เพราะโอบีวันรู้สึกสงสารเด็กน้อยที่ต้องจากแม่อันเป็นที่รัก และต้องสูญเสียอาจารย์ที่แท้จริงอย่างไควกอนไปด้วย แต่เด็กน้อยกลับมีจิตใจที่เข้มแข็งตั้งใจฝึกอย่างมาก จนฝีมือพัฒนาไปไกลกว่า ‘Padawan’ คนอื่น ๆ ในวิหาร ซึ่งหลังจากผ่านการฝึกขั้นพื้นฐานอนาคินก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ของโอบีวิน ที่ทำให้เขาเห็นตัวเองในอดีตเพราะอนาคินก็มีความหุนหันไม่เชื่อฟังแถมยังต่อต้านเถียงโอบีวันทุกครั้ง แม้แต่ตอนโตจนเป็น ‘Jedi’ เต็มตัวโอบีวันก็ยังคงสอนอนาคินซึ่งทางนั้นก็ยังไม่เชื่อฟัง โดยจากข้อมูลบอกว่าลึก ๆ แล้วโอบีวันอิจฉาและไม่ชอบอนาคินในตอนแรกที่พบ เพราะไควกอนดูจะสนใจและให้ความสำคัญกับอนาคินมากเกินไปจนแทบลืมตัวเองที่เป็นลูกศิษย์ ซึ่งตอนหนึ่งในภาพยนตร์ช่วงที่ไควกอนเสนอโอบีวันให้เลื่อนขั้นจาก ‘Padawan’ มาเป็นอัศวิน ‘Jedi’ ต่อหน้าสภา ตอนนั้นโอบีวันทั้งรู้สึกดีใจที่อาจารย์เห็นว่าตนเองพร้อม แต่ในใจลึก ๆ โอบีวันก็รู้สึกเสียใจว่าแท้จริงแล้วไควกอนเพียงต้องการไล่ตนออกไปเพื่อจะเอาอนาคินมาฝึกต่อ เพราะกฎของ ‘Jedi’ คือรับศิษย์ได้แค่คนเดียว นั่นจึงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจโอบีวันเรื่อยมาจนมาถึงตอนที่อนาคินเข้าสู่ด้านมืด โอบีวันที่แม้จะผูกพันและรักอนาคินเหมือนน้องชาย แต่ในอีกใจเขาก็บอกตนเองว่าสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับการไม่ควรรับอนาคินมาเป็นศิษย์ของไควกอนในตอนนั้น คือสิ่งที่โอบีวันคิดถูกมาเสมอ
Darth Maul ศัตรูตลอดกาลของ Obi-Wan
คราวนี้มาดูศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาลของโอบีวันกับ ดาร์ธ มอล (Darth Maul) ซึ่งหลายคนที่ชมแต่ภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ทราบมาก่อนว่าตัวของ ดาร์ธ มอล นั้นยังไม่ตายแม้ตัวจะถูกตัดขาดครึ่งท่อนไปแล้วใน ‘Star Wars Episode I The Phantom Menace’ ซึ่งหลังจากนั้น ดาร์ธ มอล ที่มีความแค้นแรงกล้าที่ถูกทั้งอาจารย์ตนเองหักหลัง แถมยังถูกโอบีวันตัดครึ่งท่อนจึงหาทางแก้แค้นเรื่อยมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งครั้งที่ดูจะเจ็บแสบที่สุดคือตอนที่ ดาร์ธ มอล สังหารหญิงอันเป็นที่รักของโอบีวันในช่วงสงครามโคลน ซึ่งถามว่าโอบีวันคลั่งรักครั้งนี้ขนาดไหน ก็มากพอที่จะทำให้อัศวิน ‘Jedi’ ที่เคร่งครัดในกรอบอยู่ในระเบียบ และเป็นผู้นำสงครามที่ชี้เป็นชี้ตายจักรวาล จะทิ้งทุกอย่างทั้งหมดเพื่อมาอยู่กับหญิงที่ตนรัก แต่ความรักครั้งนี้ก็เป็นไปไม่ได้เมื่อ ดาร์ธ มอล ที่กลับมาจากความตายมาแก้แค้น โดยการฆ่าคนที่โอบีวันรัก นับจากนั้นการต่อสู้ของทั้งคู่ก็มีเรื่อยมาซึ่งทุกครั้งโอบีวันก็จะเป็นฝ่ายชนะ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็มาเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย และจบลงด้วยความตายของ ดาร์ธ มอล ก่อนที่โอบีวันจะเผาร่างของคู่แค้นอย่างสมเกียรติ
เข้าสู่ Clone War กับความแข็งแกร่งของ Obi-Wan
หลังจากจบเรื่องราวในภาพยนตร์ ‘Star Wars Episode II Attack of the Clones’ จักรวาลก็เข้าสู่สงครามทันที ซึ่งตัวของโอบีวันนั้นก็ได้รับหน้าที่เป็นนายพลที่นำกองทัพโคลนไปสู้ในสงครามต่าง ๆ มากมาย โดยตรงจุดนี้จะถูกเล่าในช่วงของซีรีส์ ‘Star Wars The Clone Wars’ ทั้ง 7 ‘Season’ และอย่างที่เราได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของคนอันเป็นที่รักของโอบีวัน ที่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ในชีวิตคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมันอาจพาเขาเข้าสู่ด้านมืดได้เลยทีเดียว แต่ตัวของโอบีวันกลับไม่ถูกความมืดครอบงำจนเข้าสู่ด้านมืด เมื่อเทียบกับอนาคินที่เข้าสู่ด้านมืดแบบง่ายดายทั้งเรื่องยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่เจ้าตัวก็เกิดกลัวว่าคนที่รักจะจากไป จนสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเพราะตัวเองเข้าสู่ด้านมืดเรื่องราวเหล่านี้จึงเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการยืนยันแล้วว่าโอบีวันนั้นเป็น ‘Jedi’ ที่แข็งแกร่งมากกว่าอนาคิน ที่ไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือดาบหรือพลังแต่มันคือความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ ที่หลายครั้งโอบีวันเลือกจะเจรจามากกว่าจะเข้าต่อสู้ หรือคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนลงมือ อย่างตอนที่ไปจับ นายพล กรีวัส ( General Grievous) โอบีวันก็เลือกจะแอบไปคนเดียวก่อนแทนการบุกไปตรง ๆ และด้วยนิสัยนี้จึงทำให้โอบีวันสามารถหายตัวไปได้โดยที่ ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) ไม่สามารถหาพบ
การพบกันอีกครั้งของศิษย์อาจารย์ที่นำพาสู่พลัง
กระโดดข้ามมาที่ ‘Star Wars Episode IV A New Hope’ ที่หลายคนซึ่งไม่ได้ติดตามเรื่องราวในจักรวาล ‘Star Wars’ มาอาจจะงงว่าทำไมช่วงท้ายเรื่องตัวของโอบีวันจึงหายไป และมาอีกทีก็กลายเป็นร่างโปร่งแสงที่เรียกว่า ‘Force Ghost’ ก็ต้องย้อนกลับไปในเรื่องราวของ ไควกอน จินน์ ที่มีความสนใจและฝึกฝนพลังทางจิต เขาจึงพยายามเข้าถึง ‘Living Force’ หรือแหล่งพลังงานของทุกชีวิต ซึ่งเป็นสนามพลังงานที่เชื่อมทั้งจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นหนึ่งในการสนับสนุนพลังทั้งด้านดีและด้านมืดเอาไปใช้ ซึ่งตัวของไคกอนนั้นสามารถเข้าถึงบางส่วนของ ‘Living Force’ จนสามารถคงสติเอาไว้ได้หลังความตาย และสามารถบรรลุการเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘Force Ghost’ ได้หลังจากที่เขาเสียชีวิต แต่สิ่งที่ไควกอนฝึกฝนยังไม่สมบูรณ์จึงทำให้เขามาได้แค่เสียง ซึ่งไควกอนได้ติดตามดูเรื่องราวของอนาคินและโอบีวันเรื่อยมา และในช่วงหนึ่งของสงครามโคลนโอบีวันได้พบกับไควกอนที่ยืนยันว่าอนาคินคือผู้คืนสมดุลมาสู่พลัง จนเมื่อโอบีวันหนีมาอยู่คนเดียวเพราะถูกตามล่าจากคำสั่งที่ 66 ที่ให้สังหาร ‘Jedi’ ทุกคน ในตอนนั้นไควกอนก็ได้มาฝึกฝนโอบีวันให้เรียนรู้และเข้าถึง ‘Force Ghost’ แบบที่ตนทำได้ รวมถึงโยดาก็ได้เรียนวิชานี้ในตอนท้ายเราจึงเห็นทั้ง 3 คนมายืนอยู่ ซึ่งจากข้อมูลไม่ได้บอกว่าเหตุใดอนาคินถึงเป็น ‘Force Ghost’ ได้ อาจจะเป็นเพราะไควกอนมาฝึกหรืออนาคินฝึกด้วยตนเองก็ไม่อาจยืนยันได้
Ben Kenobi ชื่อปลอมกับการหลบซ่อนเพื่อเฝ้าดูเด็กชาย
ปิดท้ายกับเรื่องราวของโอบีวันในช่วงที่เขาหนีมาจากคำสั่งสังหารในตอนท้ายของ ‘Star Wars Episode III Revenge of the Sith’ เพื่อนำเด็กชายแฝดผู้พี่อย่าง ลุค สกายวอล์คเกอร์ มาอยู่กับครอบครัวของเขาอย่างที่มันควรเป็น พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น เบน เคโนบี (Ben Kenobi) ซึ่งลึก ๆ แล้วโอบีวันก็เชื่อว่าวันหนึ่งเด็กชายคนนี้ต้องมีพลังแข็งกล้าแบบพ่อ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งความหวังใหม่หรือเด็กชายอาจจะเดินตามรอยเท้าของพ่อก็เป็นไปได้ ดังนั้นสิ่งที่โอบีวันทำคือการเฝ้าดูและปกป้องเด็กชายให้พร้อมเพื่อฝึกเขาในอนาคต แต่เท่าที่ดูจากในตัวอย่างดูเหมือนโอบีวันจะถูกกีดกันไม่ให้เข้ายุ่งกับลุค เพราะลุงของเขากลัวว่าเด็กชายจะโตขึ้นมาและเป็นแบบพ่อของเขา นอกจากนี้โอบีวันก็ต้องคอยดูว่า ดาร์ธ เวเดอร์ จะรู้ถึงตัวตนของเขาหรือลูกชายตัวเองรึไม่ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องมาหาคำตอบในซีรีส์ ‘Star Wars Obi-Wan Kenobi’ ที่จะฉายในวันที่ 27 พฤษภาคมทาง ‘Disney+’ รอติดตามกันได้เลย
ก็จบกันไปแล้วกับการทำความรู้จักมุมมองต่าง ๆ ของ โอบีวัน เคโนบี ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมเป็นอัศวิน ‘Jedi’ จนมาถึงช่วงต้นของซีรีส์ ‘Star Wars Obi-Wan Kenobi’ เพื่อให้เรารู้จักมุมมองความคิดและความรู้สึกรวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่าโอบีวันเป็นคนอย่างไร โดยเราพยายามอ้างอิงเนื้อหามาจากภาพยนตร์ ‘Star Wars’ ทั้ง 6 ภาคมาเป็นพื้นฐาน เพื่อให้คนที่เคยดูหรือจำได้รับรู้เนื้อหาให้มากที่สุด เพื่อให้คุณดูซีรีส์นี้ได้สนุกมากขึ้น และมารอลุ้นกันว่าเรื่องราวในตอนนี้จะเดินไปทางใดแล้วเราจะพบกับอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นก็รอติดตามกันได้ และถ้าเนื้อหาซีรีส์ ‘Star Wars Obi-Wan Kenobi’ มีอะไรน่าสนใจเราจะเอามาพูดถึงกันอีกครั้งยังไงก็รอติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว รับรองว่าคุณจะได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของจักรวาล ‘Star Wars’ แน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส