นับเป็นหนังที่สร้างประวัติการณ์ในตัวของมันเองมากครับๆ กับ The BFG เรื่องนี้ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่า นี่คือครั้งแรกเลยที่พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้ร่วมงานกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง ดิสนีย์สตูดิโอ ที่น่าประหลาดใจเพราะแนวหนังของสปีลเบิร์กเป็นแนวครอบครัวซึ่งเป็นทางหลักของดิสนีย์เช่นกัน แล้วค่ายใหญ่กับผู้กำกับคนดังอย่างนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลยที่จะโคจรมาพบกัน แต่กระนั้นนับตั้งแต่ปี 1964 ที่สปีลเบิร์กมีหนังใหญ่เรื่องแรกจนถึงปัจจุบัน เพิ่งมีเรื่องนี้เองที่สุดยอดทีมแห่งหนังครอบครัวจะเพิ่งโคจรมาพบกัน
นี่ยังไม่นับว่าเป็นการนำผลงานหนังสือสุดคลาสสิคของ โรอัลด์ ดาห์ล นักเขียนหนังสือเด็กแห่งยุค 80 เจ้าของผลงานอย่าง Charlie and the Chocolate Factory และ Matilda ที่เคยสร้างเป็นหนังดังมาแล้ว ทั้งยังเป็นผลงานการเขียนบทเรื่องสุดท้ายของ เมลิสสา แมธิสัน ที่เคยประสานมือกับสปีลเบิร์กทำหนังแห่งยุคเรื่องหนึ่งอย่าง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ก่อนเธอจะเสียชีวิตเมื่อปลายปีก่อนนี้ด้วย
คือบอกได้เลยว่า นี่คืองานที่รวมองค์ประกอบที่เคยทำให้ความฝันวัยเด็กของใครหลายคนในยุค 80 ปลายๆและ 90 ต้นๆ กลับมาโลดแล่นบนหน้าจออีกครั้ง
BFG…Big Friendly Giant
หนังอิงจากหนังสือของ โรอัลด์ ดาห์ล เมื่อปี 1982 ปีเดียวกับที่ อี.ที. ของสปีลเบิร์กออกฉายนั่นล่ะ ว่าด้วยเรื่องของ โซฟี เด็กหญิงในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่มีความสุขกับชีวิต คืนหนึ่งเธอบังเอิญพบกับยักษ์มังสวิรัติที่เธอตั้งชื่อให้ภายหลังว่า BFG ที่ย่อมาจาก Big Friendly Giant หรือ ยักษ์ใหญ่ใจดี BFG เป็นยักษ์แคระที่ไม่กินคนเขามักเข้ามาในเมืองมนุษย์เพื่อนำความฝันจากประเทศแห่งความฝัน ที่มีต้นไม้ใหญ่คอยผลิตความฝันหลากหลายออกมา เขาจะคัดสรรความฝันต่างๆมามอบให้กับเด็กๆ เพื่อชดเชยความผิดบาปที่ยักษ์ตนอื่นในประเทศแห่งยักษ์มักมาจับมนุษย์ไปกินโดยเฉพาะพวกเด็กๆ BFG จำใจต้องพาโซฟีไปเมืองยักษ์ด้วยเพราะกลัวเธอจะป่าวประกาศเรื่องยักษ์ออกไปแล้วทำให้มนุษย์ออกตามล่าพวกของตน นั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยของเด็กหญิงตัวน้อยกับยักษ์ชราใจดีตนนี้ ในประเทศที่เต็มไปด้วยยักษ์ใจร้ายชอบกินเด็กๆนั่นเอง
BFG…Bedtime Folk traGedy
เนื้อหาเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสนุกในแบบนิทานเด็กและความหดหู่โหดร้ายที่เด็กถูกกระทำ ซึ่งสะท้อนความคิดของโรอัลด์ ดาห์ลอย่างชัดเจน เรื่องของดาห์ลมักเต็มไปด้วยตัวเอกที่เป็นเด็ก ซึ่งต้องได้รับผลกระทบจากผู้ใหญ่ที่ใจร้ายไม่ว่าจะเป็น ยักษ์ แม่มด ครูใจโหด พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ ฯลฯ และแม้จะมีผู้ใหญ่ใจดี ก็ต้องมีกำลังน้อยและโดนข่มเหงอยู่เหมือนกันแบบ BFG นี่ล่ะ เด็กๆก็ต้องใช้ความฉลาดและความสามารถ ในการเอาตัวรอดให้ได้ และในตอนท้ายพวกผู้ใหญ่ใจร้ายก็มักได้รับการแก้แค้นอย่างสาสมเสมอ นี่เป็นเสน่ห์ในงานของดาห์ลที่โดดเด่นเลยล่ะ ซึ่งเล่าผ่านมุมมองตัวเอกที่เป็นเด็กนี่ก็มาทางของสปีลเบิร์กทีเดียว ยิ่งผสมไปด้วยเรื่องเล่าแบบตำนานพื้นบ้านที่มีความแฟนตาซี อย่างพวกสิ่งเหนือธรรมชาติอีก ยิ่งเหมาะไปใหญ่ จะว่าไปหนังมีองค์ประกอบอย่างงาน Hook (1991) ของสปีลเบิร์กที่ได้ โรบิน วิลเลี่ยม แสดงนำเหมือนกัน (และเคยถูกวางตัวให้เล่นเป็น BFG ด้วยเหมือนกัน แต่โปรเจคนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น)
ถ้าอ่านเบื้องหลังของเรื่องราว เราจะเห็นว่าตัวเรื่องสะท้อนกับชีวิตของ โรอัลด์ ดาห์ล อย่างน่าสนใจ ทั้งวัยเด็กกับโรงเรียนที่เคร่งกฏระเบียบ พอโตก็ไปเป็นทหารขับเครื่องบินขับไล่ในสงครามโลก โดยประสบการณ์หลายๆอย่างในชีวิตเขาเรียกว่าหนักพอสมควร ทำให้เราเห็นว่าเขาน่าจะได้แทรกภาพตัวเองลงไปในตัว BFG ที่เป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆที่อยากช่วยเด็กๆแต่ขาดพลังและความกล้า โดยตัวละครชื่อโซฟีเอง ก็เชื่อว่ามาจากชื่อลูกสาวตอนแรกเกิดของดาห์ลอย่าง Chantal Sophia Dahl ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็น Tessa หรือหลานสาวของเขาอย่าง Sophie Dahl ด้วย เขาน่าจะรู้สึกผิดในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเลวร้ายของผู้ใหญ่อื่นๆที่กระทำต่อโลกและต่อเด็กๆ เช่นเดียวกับ BFG ที่คอยบอกว่าเขาต้องส่งความฝันดีเพื่อชดเชยความผิดของพวกยักษ์ ดาห์ลเองก็ส่งพลังความกล้าให้กับเด็กๆผ่านงานหนังสือเช่นกัน ในขณะที่ความฝันที่ร้ายกาจที่สุดที่ BFG เคยเจอก็คือความฝันที่พร่ำบอกว่า “พวกแกได้ทำอะไรลงไปเนี่ย พวกแกจะไม่ได้รับการให้อภัย” นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ดาห์ลรู้สึกหวาดหวั่นต่อชีวิตที่เขาดำเนินมา หรือการรับรู้สิ่งที่ผู้ใหญ่รอบๆตัวเขาเคยได้ทำไว้นั่นเอง
ถ้าอ่านชีวิตของโรอัลด์ ดาห์ล แบบอ่านสะท้อนกับเรื่องในหนัง เราจะพบว่าหนังเปี่ยมด้วยความหวัง ความฝัน พลัง และความโศกเศร้าอยู่ไม่เบาทีเดียว
BFG…Back to Film from 25 years aGo
สปีลเบิร์กจัดเต็มตามมนต์เสน่ห์ในหนหลัง แบบสมัยหนังแฟนตาซีเด็กๆ รุ่งเรื่องยุค 80-90 มากๆ นี่ยังใช้บทหนังของเมลิสสาที่เขียนงานในช่วงยุคนั้นด้วย พอหนังขึ้นชื่อเรื่องด้วยศิลป์แบบหนังเก่ายุคนั้น เราก็รู้ทันทีว่าหนังใช้ธีมการเล่าแบบเก่า ซึ่งส่งผลไปทั้งรายละเอียดในหนัง และท่าทีการเล่าต่างๆ ที่พูดกันตรงๆ ว่าออกจะเก่าไปสักนิดครับ ยิ่งกับคนดูยุคที่หนังโฉ่งฉ่างและมีจุดขายเร่งเร้าคนดูมากมายแบบยุคปัจจุบันนี้ คือหนังเป็นโปรเจคที่เริ่มมาตั้งแต่ 25 ปีก่อน ถ้าตอนนั้นหนังเรื่องนี้ออกมา ไม่ต้องเทคนิกสุดยอดโมชั่นแคปเจอร์อะไรเลย ก็เชื่อว่าหนังจะประสบความสำเร็จอย่างสูงมากๆครับ แต่พอหนังฟรีซตัวเองเหมือนกับ กัปตันอเมริกา ที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่ปรับตัวอะไรเลย ก็ไม่แปลกที่จะถูกล้อว่าลุงมั่ง ตาแก่มั่ง มุกตลกในหนังยังเป็นมุกแบบโบราณที่ทำให้ได้แค่ยิ้มๆในยุคนี้เลยครับ คือถ้าจะมองว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างก็ต้องบอกว่าหนังคารวะความดั้งเดิมไว้อย่างดีเลยทีเดียว แต่ถ้าพิจารณาในภาพปัจจุบัน ข้อดีของมันคงเหลือเพียงเทคนิกภาพที่สวยงาม และการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายสนุกเบาๆประสาหนังเด็กที่บริสุทธิ์ใจเรื่องหนึ่งเท่านั้นครับ
สรุป
BFG…Between Falling sleep Gently หนังเรื่องนี้คือช่วงเวลากล่อมเด็กนอนอันแสนอ่อนโยน เหมาะสำหรับเด็กมากๆครับ ส่วนผู้ใหญ่มากๆ ก็พักสายตา(เป็นช่วงๆ)เถอะนะคนดี นะครับ