นับตั้งแต่ปล่อยทีเซอร์ออกมาเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคม กระแสตอบรับของ Ghostbusters หรือ ‘บริษัทกำจัดผี’ หนึ่งในหนังไอคอนยุค 80 ที่เคยโด่งดังก็ถูก ‘ปลุกผี’ รีบูทขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสด้านลบ แถมยังกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีทีเซอร์หนังเปิดตัวที่ได้รับยอด dislike มากที่สุดบน YouTube ก่อนเข้าฉายเสียอีกต่างหาก
ก่อนหน้านี้ Ghostbusters เคยถูกคาดว่าจะทำฉบับรีเมคออกมาหลายครั้งแต่จนแล้วจนรอดก็ต้องรอถึง 27 ปีกับการกลับมาปรากฏตัวบนจอเงินอีกครั้งนับจากภาคล่าสุด ซึ่งก็เป็นเวลาที่นานพอที่พวกเขาจะสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับคนเจนหลังที่ยังไม่เคยสัมผัส และตีโจทย์การผสมผสานกลื่นอายความเป็นหนังไซไฟยุค 80 ให้ดูร่วมสมัย ทำยังไงให้คนเจนก่อนที่คุ้นเคยกับเจ้าโลโก้บริษัทกำจัดผีนี้มาตั้งแต่เด็กยอมรับได้
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเลยของ Ghostbusters ในภาครีบูทนี้คือ การแคสตัวแสดงหลักเป็นนักแสดงหญิงหมด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คอหนังซึ่งเคยผ่านสองภาคแรกมานั้นวิพากษ์วิจารณ์กันมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม จากผลงานหนังก่อนหน้านี้ของผู้กำกับ Paul Feig (The Heat, Spy) ที่ทำได้ดีกับแนวทางของหนัง feminist รวมทั้งได้สาวอวบอย่าง Melissa McCartney มาร่วมงานกันอีกครั้ง ก็อาจทำให้ใครหลายคนยังมีความหวังลึกๆ ว่า ยังน่าจะ ‘เอาอยู่’ น่า
กุญแจสำคัญที่ทำให้ Ghostbusters ตีโจทย์แตกเลยก็คือความละเอียดในการแคสตัวแสดงหลักทั้ง 4 คน รวมทั้ง Chris Hemsworth ที่ใครจะเชื่อว่าจะเขาจะเลิกขว้างค้อนแล้วมารับบทบาทเลขาหนุ่มเท่ปนซื้อบื้อ (แต่น่ารัก) ในเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมีการสอดแทรกไดอะล็อกฉลาดๆ รวมทั้งการชงและตบมุกในเรื่องก็ถือว่าไหลลื่นเกินคาดไม่ให้มีความรู้สึก ‘เฝือหรือเกร่อเหมือนหนังแฟรนไชส์แนวคอเมดี้บางเรื่อง รวมทั้งการกระจายบทบาทของตัวละครหลักก็ทำได้กลมกล่อม
การเดินเรื่องของของ Ghostbusters แทบไม่มีช่วงเนือย บางช่วงที่เหมือนจะเริ่มดร็อปสักพักก็จะฉุดตัวเองขึ้นมาให้คนดูฮากันครืนสองครืนเสมอ ตัวหนังมีกิมมิคที่เล่นกับ ‘ช่วงเวลา’ ล้อไปกับยุคสมัย โดยเฉพาะการออกแบบแคแร็คเตอร์ตัวละคร ทรงผม รวมทั้งแฟชันเครื่องแต่งกาย (โดยเฉพาะแคแร็คเตอร์ของ Holtzman และ Patty) ดนตรีประกอบในเรื่องและที่ขาดไม่ได้คือเจ้ารถ Ecto-1 ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกย้อนกลับไปถึงยุค 80 ยุคแห่งแฟชันและความฉาบฉวย บนจุดสูงสุดของวัฒนธรรมป๊อบ (แว่บหนึ่งมีฉากที่ Dan Aykroyd นักแสดงจากภาคแรกมาร่วมแสดงให้หายคิดถึงด้วย)
จะว่าไป Ghostbusters เข้าฉายในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเหมาะเหม็งเลยก็ใช่ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีคอนเท้นต์เกี่ยวกับยุค 80 รวมทั้งกระแส feminism ที่เริ่มกลับมาเป็น trendy อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทีมวอลเลย์บอล ไปจนถึงนายกรัฐมนตรีหญิงอย่าง เทเรซา เมย์ ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษแบบสดๆ ร้อนๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่มี ‘ผู้หญิง’ เป็นส่วนสำคัญ เมสเซจผู้หญิงที่ก้าวมาเป็นผู้นำ ถูกนำมาเล่น มาทำให้หวือหวาอีกครั้ง และโทนเรื่องที่ได้อรรถรสไปอีกแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไปกับการเลือกแคสนักแสดงหญิงมาถ่ายทอดในบทบาทของซุปเปอร์ฮีโร่ (ในขณะที่ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวจริงกลับถูกนำไปวางบทบาทสมทบ)
ในขณะที่ทุกปีจำนวนหนังเฉลี่ยต่อปีมากขึ้น แน่นอนว่าเราได้เห็นการรีเมคทั้งละครหรือภาพยนตร์มากมายที่ถูกปัดฝุ่นมาทำ มาเล่าใหม่ จนคนดูเบื่อพล็อตเรื่องเกลื่อนๆ แต่ภายใต้โจทย์หนังรีเมคที่ล้วนแต่ต้องแบกรับความกดดันจากคอหนังหรือสื่อมวลชน แถมเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปรียบเทียบกับเวอร์ชันเก่าก่อนที่เคยตราตรึงใจ อย่างไรก็ตาม Ghostbusters ในปี 2016 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการหยิบหนังรุ่นพ่อมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ ที่มีศักยภาพพอที่จะผงาดทำเงินในโลกจอเงินรุ่นลูกได้อย่างสง่างามไม่ต่างจากเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วเลย
Ghostbusters จะเข้าฉายจริงในบ้านเรา 14 กรกฏาคมนี้ครับ