“ชีวิตคือเรื่องตลกชิ้นโบว์แดงของนักเขียนซาดิสต์”
ชีวิตของบ็อบบี้ (เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก) คงไม่ผิดจากประโยคข้างต้นนัก เมื่อเขาต้องมาขอพึ่งใบบุญ ฟิล เสติร์น (สตีฟ คาเรล) น้าชายผู้เป็นดั่งขาใหญ่ในวงการฮอลลีวูดเพื่อหางานทำเพราะเบื่อบ้านที่นิวยอร์คเต็มทน ด้วยเห็นหลานเป็นเด็กบ้านนอกเลยให้เลขาที่ตัวเองแอบกินอยู่ลับๆ อย่าง วอนนี่ (คริสเต็น สจ๊วร์ต) พาไปเปิดหูเปิดตา แต่ที่ไม่มีใครคาดคิดคือเสน่ห์ของนางดันไปโดนใจพ่อหนุ่มบ็อบบี้เข้าอย่างจัง จนเกิดรักสามเส้าระหว่างพ่อหนุ่มนิวยอร์คคนซื่อ (จนเกือบบื้อ) น้าชายขาใหญ่ที่อยู่ในระยะทำใจ (ก่อนทิ้งเมีย) กับสาวน้อยใจง่าย ที่ทั้งปวดขมับ แต่กรามขยับไม่หยุดจริงๆ
วูดดี้ อัลเลน ยังคงรักษามาตรฐานในการปั่นป่วนความรู้สึกคนดูอยู่เสมอ ในขณะคนดูกำลังลุ้นให้อีตาบ็อบบี้คอยเทียวไล้เทียวขื่อให้วอนนี่ใจอ่อน หนังกลับเผยสัมพันธ์ลับๆระหว่าง วอนนี่ กับ น้าฟิล มาปลุกคนดูให้ตื่นจากอาการ “ฟิน” ซะงั้น! และพอความสัมพันธ์ระหว่างบ็อบบี้กับวอนนี่เริ่มก้าวหน้า น้าฟิล กลับมุ่งมั่นจะเคลมวอนนี่คืนซะงั้น ที่ตลกร้ายที่สุดคือ อีตาบ็อบบี้ ดันไปเห็นอกเห็นใจน้าชายตอนได้ฟังว่ากำลังจะหย่าเมียเพื่อไปแต่งกับเด็กสาวที่ตัวเองเคยเคลม โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเสียคนรักให้น้าชายตัวเอง ปัดโธ่!
หนังเรื่องนี้ยังคงสะท้อนมุมมองของอัลเลนต่อความสัมพันธ์ในเชิงตลกร้ายที่ว่าด้วยมนุษย์สานสัมพันธ์และสร้างสังคมเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ในที่นี้คือ ฮอลลีวูด ยุค 30 ที่แค่ได้รู้จักดาราก็กลายเป็นที่นับหน้าถือตาใหญ่โตคับวงการ และดึงดูดผู้คนเข้าหาไม่ว่างเว้นแต่แห้งแล้งความจริงใจยิ่งนัก ในขณะที่การสร้างครอบครัวเองก็ไม่ต่างจากการผลิตปัญหาใหม่ๆขึ้นมาในสังคม โดยเฉพาะกรณีชู้สาวที่เหมือนเป็นโรคระบาดในสังคมของหนังเรื่องนี้ และเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมขยี้ทุกความสัมพันธ์ ซึ่งบทหนังก็เอาล่อเอาเถิดกับวังวนชู้สาวจนคนดูถูกปั่นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผสมปนเปทั้งหัวเราะกรามค้างและว้าเหว่ เดียวดายไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง
ด้านนักแสดงเอง คนที่บทจัดจ้านที่สุดหนีไม่พ้น สตีฟ คาเรล ที่จับจังหวะการแสดงขั้นเทพมาสร้างตัวละครขาใหญ่ฮอลลีวูดที่มีเสน่ห์ด้วยมาดเปี่ยมอำนาจได้อย่างน่าเชื่อถือ ส่วนเจสซี่ ไอเซนเบิร์ก แม้จะถูกมองว่ายังสลัดภาพมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จาก The Social Network ไม่หลุด แต่หนังเรื่องนี้ก็เผยให้เห็นการแสดงในพาร์ทโรแมนติกที่มีเสน่ห์ตามแบบฉบับผู้ชายขี้อายอยู่ไม่น้อย ส่วน คริสเต็น สจ๊วร์ตเอง ดูจะเหนื่อยกับการบริหารเสน่ห์ประชันกับนักแสดงสมทบอย่าง เบลค ไลฟ์ลี่ อยู่พอสมควร แต่ก็ถือว่าสอบผ่านไปได้อย่างสวยงาม
งานนี้ใครอยากบริหารกราม พร้อมลุ้นเรื่องรักโรแมนติกแบบไม่หวานเลี่ยน เชิญตีตั๋วเป็นสมาชิกคาเฟ่ชวนหัวของวูดดี้ อัลเลน ได้ทุกโรงภาพยนตร์
ป.ล. แต่ถ้าจะมีอะไรตลกร้ายหนักกว่านี้เห็นจะเป็นข่าวฉาวที่อัลเลน คบหากับ ลูกสาวบุญธรรมตัวเอง ซึ่งคาวคลุ้งทั่วเทศกาลหนังเมืองคานส์ซึ่งเป็นที่เปิดตัวภาพยนตร์ Cafe’ Society เรื่องนี้อีกด้วย