จะมีอะไรบนท้องฟ้าน่ากลัวไปกว่า อุกกาบาต ที่เคยทำไดโนเสาร์สูญพันธุ์มาแล้ว แต่กับผองเพื่อน อย่าง ซิต สลอธช่างจ้อ ดิเอโก้ เสือเขี้ยวดาบจอมห้าว และ แมนนี่ ยอดคุณพ่อแมมมอธ ที่ร่วมมือกับ บัค ตัววีเซิล ผู้พิทักษ์ไข่ ในการเดินทางเพื่อหยุดหายนะจากอุกกาบาตที่อาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งของพวกเขา
ก่อนจะดูยอมรับว่าแทบไม่ได้ตั้งความหวังกับ Ice Age ภาคที่ 5 นี้เท่าใดนัก แต่ผลลัพธ์กลับเกินคาดในแง่ของความสนุกในการเล่าเรื่อง แม้จะใช้องค์ประกอบแบบเดิมๆ ที่เห็นมาตั้งแต่ภาคแรกในปี 2002 แต่ด้วยการออกแบบคาแรคเตอร์สัตว์โบราณที่น่ารัก มีอุปนิสัยชัดเจนไม่ซับซ้อน พ่วงด้วยการนำเสนอแบบตัดสลับฉากตัวสแครตกับลูกวอลนัทที่คราวนี้ไปป่วนกาแลคซี่กระเจิง คล้ายจำอวดหน้าม่าน ก็ทำให้หนังไม่มีที่ว่างให้ความน่าเบื่อเลยแม้แต่นิด เรียกได้ว่าอะไรเอ็นเตอร์เทนใส่มาหมดจะเป็นมุก 5 บาท 10 บาท ตลกเจ็บตัว หนักๆเข้ามีร้องเพลงให้ฟังอีกแหนะ แถมยังจะได้หัวเราะท้องแข็งไปกับความกวนของเจ้าสแครตที่ผ่านมา 14 ปีก็ยังเป็นตัวขโมยซีนระดับพระกาฬเช่นเคย และมุกต่างๆในเรื่องก็ทำงานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับเด็กๆที่น่าจะชมหนังเรื่องนี้ได้อย่างเพลิดเพลินทีเดียว
โดยประเด็นสำคัญในภาคนี้เห็นจะเป็นเรื่องของการยอมรับและสนับสนุนในการเติบโดของลูก โดยพล็อตรองที่เดินคู่เหตุการณ์อุกกาบาตคือ การเตรียมแต่งงานและย้ายออกจากบ้านของ พีชชี่ ลูกสาวแมมมอธสุดมั่นของคุณพ่อ แมนนี่ ที่แม้ พ่อและแม่จะพยายามกล่อมให้อยู่ด้วย แต่เธอก็เลือกจะมีชีวิตครอบครัวของตัวเอง ซี่งการนำเสนอของหนังค่ายบลูสกายเรื่องนี้ดูจะเอาใจเด็กน้อยเป็นพิเศษ เราจึงจะไม่มีทางได้เห็นแฟลชแบ็คชีวิตแสนเศร้าของ แมนนี่ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหวงลูก หรือเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ เหมือนในหนัง อนิเมชั่น ของค่าย ดิสนี่ย์ พิกซ่าร์ ที่เอาใจผู้ใหญ่คิดเยอะเท่าใดนัก
แม้หลายคนจะมองว่า Ice Age Collision Course เป็นอนิเมชั่นภาคต่อที่เกินความจำเป็น แต่ผมอยากให้มองหนัง Ice Age ให้เหมือน บิงซู หรือ น้ำแข็งใสสุดฮิตนั่นแหละ ใครถามว่า “ประโยชน์มีมั้ยเนี่ย” ดูจะผิดประเด็นไปเลยทันที แต่ว่ากันถึงความอร่อยล่ะก็ บิงซูถ้วยนี้เครื่องแน่น อร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว