ผู้กำกับ Richard Linklater ขวัญใจสายหนังชีวิตละเมียดละมุนอย่าง หนังคู่รักเดินคุยกันแบบไตรภาค แห่งตระกูล Before (Before Sunrise, Before Sunset และ Before Midnight) หรือจะเป็นหนังชีวิตคัมมิ่งออฟเอจตามติดชีวิตเด็กชาย ที่ถ่ายกันยาวถึง 12 ปีอย่าง Boyhood (2014) ก็ตาม กลับมารอบนี้ หนังพาเราย้อนวัยกลับไปปี 80 ในรั้วมหาวิทยาลัยที่คงเป็นช่วงชีวิตประทับใจของผู้กำกับเองด้วย
หนังเล่าถึงแก็งก๊วนเหล่าสมาชิกทีมเบสบอลที่เฮฮาปาร์ตี้ และแสวงหาความหมายในตัวเอง ผ่านความรัก มิตรภาพ และความเกรียน จนหลายๆคนบอกว่านี่คืองานภาคต่อจาก Dazed and Confused (1993) ของผู้กำกับเดียวกันที่ว่าด้วยช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อของเด็กไฮสคูลที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัยเลยล่ะ และแน่นอนนี่ยังคงเป็นหนังที่เล่าความสัมพันธ์ เปิดตัวละคร และขับดันพัฒนาการของคน ด้วยบทสนทนาที่ไม่ธรรมดา อย่างที่แฟนๆของลิงค์เลเตอร์เคยชินเช่นเดิม
และสำหรับขาจรถ้าจะเริ่มดูหนังของผู้กำกับท่านนี้ การเริ่มดูด้วยเรื่องนี้นับเป็นประสบการณ์บันเทิงแบบฮารั่วในสไตล์แท้ๆของแกแบบที่สุดแล้วล่ะ (เพราะแกยังมีงานฮอลลีวู้ดจ๋าอย่าง The School of Rock (2003) ที่ได้ แจ๊ค แบล็ก แสดงนำด้วยล่ะนะ) เราอาจจะใช้เวลาปรับตัวกับวิธีการเล่าแบบเดินหน้าตามเวลาไปเรื่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ เปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ สักพัก แต่เชื่อว่าไม่เกิน 20 นาที พอจับกลุ่มตัวละครจำนวนมากแก๊งนี้ได้ เราก็พร้อมจะลุยไปกับหนังแบบเต็มสูบได้แล้วล่ะ
ข้อเด่นของหนังสำหรับแฟนๆของลิงค์เลเตอร์เลยคือ นี่เป็นงานที่มีความเชื่อมโยงในแง่พัฒนาการด้านวัยมาจากหนังเก่าอย่าง เดซแอนด์คอนฟิวซ์ และ บอยฮู้ด ของตัวผู้กำกับเอง ซึ่งยังเป็นช่องว่างในชุดหนังที่แกเขียนบทและกำกับเอง ที่ยังไม่เคยเล่าช่วงชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัยเลย มีแต่เล่าเรื่องเด็กชายจนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยใน บอยฮู้ด และ เดซแอนด์คอนฟิวซ์ แล้วก็ข้ามไปเล่าช่วงเวลาหลังเรียนจบกับการเดินทางท่องเที่ยวค้นหาตัวเอง จนถึงวิกฤตชีวิตรักในหนังตระกูล บีฟอร์ ทั้ง 3 ภาคเลย เรียกว่ามาเติมช่องว่างนี้ได้เกือบครบแล้วล่ะ
ในขณะเดียวกันมันก็หยอกเล่นกับเราอีกว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลายาวนานแบบใน บอยฮู้ด ที่จะลากยาวแบบเฟรชชี่จนเรียนจบไปแบบนั้น แต่แกเล่าแค่ 3-4 วันก่อนหน้าเปิดเรียนวันแรกเท่านั้นเอง และเล่าแบบเดินหน้าตามฉากแต่ไม่ขนาดถึงกับกึ่งเรียลไทม์แบบในหนังตระกูลบีฟอร์ด้วย จึงน่าสนใจว่าเราจะไม่ได้เห็นมุมมองด้านการศึกษาที่เปลี่ยนตัวละครเลย แต่เราจะเห็นว่าวัฒนธรรมแบบเด็กมหาวิทยาลัยมันจะกล่อมเกลาตัวละครสมาชิกทีมเบสบอลปี 1 เหล่านี้ยังไงบ้าง ซึ่งคงเป็นแง่มุมที่ผู้กำกับคิดว่าเป็นปัจจัยที่พัฒนาบุคลิกคนขึ้นมามากกว่าการศึกษา สำหรับแฟนๆลิงค์เลเตอร์เชื่อว่าพูดแค่นี้คงเพียงพอนะที่จะบอกว่า เป็นอีกงานที่ห้ามพลาดเพื่อไปเก็บคอลเล็กชั่นช่วงเวลาในหนังของแกที่หายไปให้ครบถ้วน
ส่วนสำหรับขาจร นี่อาจไม่ใช่งานที่คุณคุ้นชิน ดูๆไปคุณอาจอุทานว่าโคตรอินดี้ ไม่มีเนื้อเรื่องไม่มีไคลแม็กซ์เลยนี่หว่า ซึ่งจริงๆมันมีล่ะ แต่ท้าทายประสบการณ์การดูหนังของเราแบบเบาๆ ที่จะค้นเจอความหมายและเป้าหมายของตัวละครด้วยตนเอง ซึ่งก็อยู่ในบทสนทนาที่แสนเป็นธรรมชาติกึ่งกวีทั้งหลายในเรื่องนั่นล่ะ และแม้ฟังดูเหมือนมันจะดูเอื่อยเฉื่อยเหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงๆหนังมีโมเม้นท์แห่งวัยรุ่นอยู่มากๆ ทั้งปาร์ตี้ กัญชา ผับดิสโก้ ผู้หญิง การแกล้งอำแบบฮาๆของแก๊งเพื่อน รวมถึงมิตรภาพแบบแปลกๆระหว่างสมาชิกทีม ไม่น่าเชื่อว่าตัวละครที่ค่อนข้างมากขนาดนั้น แต่เราก็จะจำเอกลักษณ์ของแต่ละตัว และความสอดคล้องขั้นสุดยอดเป็นปีเป็นขลุ่ยของแก๊งชายล้วนต่างนิสัยสุดขั้วกลุ่มนี้ได้ และแน่นอนว่านอกจากเสียงหัวเราะหนักๆบางฉากแล้ว หนังยังมีโมเม้นท์รักแรกพบ ป๊อปปี้เลิฟให้อมยิ้มและโรแมนติกตามด้วย
เอาเป็นว่า เป็นรสแปลกต่างจากหนังทั่วไปที่น่าลองเลยล่ะ แต่ถ้าคิดว่าสไตล์ผมต้องหลวงพี่แจ๊ส 4G หรือต้องเอาฮารั่วรัวๆ ผมว่าเรื่องนี้ก็อาจยังไม่ใช่แนวคุณนะ
สรุป
แฟนคลับของผู้กำกับ และผู้นิยมหนังพัฒนาการละเมียดละไม บทเท่ๆเทพๆ ก๊วนๆเกรียนๆแบบนอสตัลเจีย น่ารักๆอมยิ้มๆ ควรชมครับ ใครเรียกร้องความฮาป่าระดับท้องคัดท้องแข็งยิงมุกกันทุก 5 นาที 10 นาที น่าจะผ่านได้ครับ
หนังเข้าฉาย 19 กรกฎาคมนี้ แบบคงไม่ยืนโรงยาวด้วย ใครสนใจต้องรีบดูกันหน่อยล่ะนะ