ที่งานคอมมิคคอนล่าสุด มีข่าวน่าสนใจมากๆเรื่องหนึ่งคือ ผู้กำกับ Adam Wingard จากหนัง You’re Next (2011)ได้นำโปรเจ็กใหม่ที่ชื่อ The Woods มาฉายรอบทดสอบในงานด้วย และหลายๆ สื่อที่ได้ชมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า แท้จริงแล้วมันคือภาคต่อของ The Blair Witch Project หนังสยองขวัญอินดี้คลาสสิค ซึ่งหลังจากการฉายนั้น ทางค่ายหนัง Lionsgate ก็ออกมาประกาศชื่อหนังที่แท้จริงว่าคือ Blair Witch ไม่ใช่ The Woods ที่เคยโปรโมทหลอกไป
ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับใครที่ทันยุคที่มันฮิตถล่มทลายตารางหนังทำเงินจากทุนสร้างน้อยนิด ทั้งยังก่อกระแสทางสังคมที่ทำเอาคนเชื่อว่าคือเรื่องจริง กระแสทางการตลาดแบบใหม่ที่หนังทำการตลาดแบบประโคมให้คนเชื่อเกิดกระแสปากต่อปาก จนถึงพัฒนาการก้าวหนึ่งที่ทำให้วงการหนังหันมาสนใจหนังแนวสารคดีปลอมนี้ด้วย
The Blair Witch Project (1999) หรือชื่อไทยว่า สอดรู้ สอดเห็น สอดเป็น สอดตาย เป็นภาพยนตร์ที่ปลุกกระแส Found Footage หรือหนังสยองขวัญที่ใช้รูปแบบสารคดีปลอมมานำเสนอ โดยเล่าว่าเป็นภาพเหตุการณ์สยองขวัญจากกล้องวีดิโอที่เก็บพบได้โดยบังเอิญ ซึ่งมักให้เห็นชะตากรรมของเจ้าของกล้องที่ไปเผชิญกับสิ่งเหนือธรรมชาติหรือเหตุการณ์สยองบางอย่างเข้า จนทำให้หนังแนวนี้กลับมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีกครั้ง จนมีแนวคล้ายๆกันอย่างเรื่อง [REC] ที่เล่าถึงตึกซอมบี้ออกตามมา รวมถึงหนังแนวถือกล้องวิ่งถ่ายให้เต็มพรืดไปหมดทีเดียว
โดย Blair Witch Project เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ 2 นักทำหนังอย่าง Daniel Myrick และ Eduardo Sánchez ที่อ้างว่าเป็นการนำตำนานความเชื่อพื้นถิ่นในเมืองหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์มาเป็นเค้าโครง ว่าด้วย แม่มดนามว่า แบลร์ ที่เป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของผู้คนมานานกว่า 200 ปีในเมืองนี้ โดยเธออาศัยอยู่ในป่าลึกที่ชื่อ แบล็คฮิลล์
และในเดือนตุลาคม ปี 1994 นักศึกษาวิชาภาพยนตร์ 3 คนประกอบด้วย Heather Donahue, Joshua ‘Josh’ Leonard และ Michael ‘Mike’ Williams ก็ได้เข้ามาถ่ายทำสารคดีว่าด้วยตำนานแม่มดแบลร์นี้ โดยสัมภาษณ์ชาวเมือง ก่อนจะลุยเข้าป่าไปตามหาความจริงเกี่ยวกับแม่มดนี้ ซึ่งในทีมนี้จะมี ฮีทเธอร์ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยกล้อง 8 มม. โจชัวร์ ทำหน้าที่ตากล้องหลักด้วยกล้อง 16 มม. ซึ่งนิยมในการใช้ถ่ายสารคดี และไมเคิลทำหน้าที่บันทึกเสียง แน่นอนว่าทั้ง 3 คนไม่เคยกลับออกมา ซึ่งในตอนต้นของหนังก็จะมีการบอกผู้ชมตรงๆ ว่าภาพทั้งหมดเป็นภาพที่เก็บได้จากกล้องของนักศึกษาทั้ง 3 คนซึ่งหายตัวไปในป่า ซึ่งเป็นกลวิธีที่ทำให้บางคนเชื่อสนิทใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ
และไม่เพียงกลวิธีทางการถ่ายหนังเท่านั้น ด้านการตลาดค่ายหนังก็จัดเต็มเช่นกัน ทั้งว่าหลีกเลี่ยงที่จะบอกคนดูว่านี่คือเรื่องแต่ง ทั้งการทำเว็บไซต์ปลอมอย่าง blairwitch.com ที่เป็นตุเป็นตะ ทั้งไล่เรียงเหตุการณ์คนหายที่เกี่ยวเนื่องกับแม่มดแบลร์ จนมาถึงลำดับเหตุการณ์ที่นักศึกษาทั้ง 3 คนเริ่มถ่ายทำจนหายตัวไป และตำรวจมาพบเทปในสามปีให้หลังในป่า ก่อนจะได้ค่ายหนัง Haxan มาพิสูจน์ว่าเป็นเทปทำปลอมหรือไม่ ก่อนจะเอามาตัดต่อใหม่เป็นหนังที่ได้ชมกัน ในหมวดของผู้สร้างหนังนั้นก็ละเอียดมีทั้งภาพเตรียมการถ่ายทำของนักศึกษา และภาพที่มีบันทึกไว้ก่อนทั้งสามจะหายตัวไป ซึ่งเหมือนจะจูงใจให้คนดูช่วยกันมาสืบหาว่าทั้งสามหายไปไหนด้วย นี่ยังรวมถึงหนังสารคดีทางโทรทัศน์เรื่อง Curse of the Blair Witch (1999) ที่ทำออกมาปลุกกระแสต่อเนื่อง เรียกว่าเด็ดซะจริงๆ
ซึ่งกระแสแบบเน้นปากต่อปาก กระจายข่าวแบบหลอกให้เชื่อนี่ก็สำเร็จซะด้วยสิ มีคนเชื่อมากมายทีเดียวว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วผลลัพธ์หนังก็ดังระเบิดทำเงินถล่มทลายทำเงินทั่วโลกไปกว่า 248 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างราวๆ 6 หมื่นเหรียญเท่านั้นเอง กลายเป็นหนังทำสัดส่วนกำไรสูงสุดในโลกไปเลย
หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนังสยองขวัญแบบหลอนด้วยบรรยากาศและการปลูกฝังความกลัวให้กับตัวละครและคนดูไปทีละน้อย โดยไม่มีความตุ้งแช่หรือหน้าเละเลือดท่วมแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็ซ่อนปริศนาไว้ให้คนดูสงสัยติดตามไปตลอดเรื่อง จัดเป็นหนังผีอารมณ์ใหม่ที่สดมากกับการหลอกคนดู และด้วยการเล่าผ่านเทปที่ถูกพบ ภาพจึงเป็นแบบเดินถือถ่ายทั้งเรื่อง เรียกว่าตอนนั้นคนยังไม่ชินกับสไตล์กล้องส่ายไปมากว่าชั่วโมงครึ่งก็มีเมาภาพกันไปเยอะ แต่คนที่ชื่นชมนั้นก็มีมากเช่นกัน และนั่นก็ทำให้เราได้ดุหนังอย่าง Cloverfield และอีกสารพัดแฮนเฮลด์อีกมากมายด้วย
และเป็นเหมือนอาถรรพ์หลังจากร่ำรวยจากหนังเรื่องนี้ สองผู้กำกับตัวจริงก็ไม่มีผลงานหนังใหญ่อะไรให้เราติดตามอีกเลย…..
Book of Shadows: Blair Witch 2 (2000) หนังภาคต่ออย่างเป็นทางการ หลังจากปล่อยให้หนังล้อเลียนเกรดบีเอาไปยำเละเสียหลายเรื่อง ทั้ง The Blair Witch Rejects (1999) หรือจะเป็น The Tony Blair Witch Project (2000) ก็ตาม ซึ่งมาในภาคนี้ได้เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น Joe Berlinger ผู้กำกับที่มีผลงานจากสารคดีโทรทัศน์เรื่องการฆาตกรรมและหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กๆในชื่อ Paradise Lost ด้วย
หนังเล่าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาออนทัวร์เรื่องลี้ลับที่ป่าแบล็คฮิลล์ หลังจากได้ชมหนังเรื่อง The Blair Witch Project ในภาคแรกไป ซึ่งแต่ละคนก็ได้เจอเหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆนานา ซึ่งมีจุดเด่นที่ดูเหมือนว่าแม่มดจะแปลงกายหรือสิงสู่ใครในกลุ่มนี้ก็ได้ทั้งนั้น ทำให้นอกจากต้องหาความจริงแล้ว ทุกคนยังต้องมาระแวงกันและกันอีกด้วย หนังจบด้วยหลักการล่าแม่มดและฆ่ากันเองของนักท่องเที่ยว ตัวละครที่รอดชีวิตก็โดนจับเพราะกล้องวงจรปิดที่น่าจะเสียบันทึกเหตุการณ์ฆ่ากันเองเอาไว้ได้ แถมในเทปวงจรปิด คนที่เหมือนโดนแม่มดสิงที่เราดูๆกัน กลับร้องขอชีวิตและดูเป็นเพียงคนธรรมดาๆด้วย เรียกว่าความจริงที่เห็นกับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ตรงกัน
น่าเสียดายหนังภาคนี้ทิ้งเอกลักษณ์และบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ไป ถึงจะมีคอนเซ็ปท์ที่เจ๋งๆอย่างตัวเรานั่นเองล่ะที่อาจจะเป็นแม่มดตัวจริง แต่ด้วยการถ่ายทำเป็นหนังเล่าเรื่องเกรดบีธรรมดาดาดๆ ก็เลยกลายเป็นหนังที่ไม่มีอะไรให้จำเท่าไหร่ไปเลย เรียกว่าล้มเหลวทั้งกระบวนการคิดการสร้างและการทำการตลาดเลยทีเดียว ก็ตามคาดหนังเฟลมากด้วยความคาดหวังจากภาคแรกที่สูง (ซึ่งโมเดลนี้กลับทำได้ผลในหนังเรื่อง Cloverfield ที่เปลี่ยนตัวเองจากหนังสารคดีปลอม มาเป็นหนังคนแสดงที่ลุ้นระทึกใน 10 Cloverfield Lane แทน)
บางคนถึงขนาดไม่จดจำว่านี่คือภาคต่อของ The Blair Witch Project เลยด้วย หลังจากนั้นก็มีความพยายามจะทำโปรเจ็ก The Blair Witch Project ภาค 3 มาตลอด แต่ก็ล้มพับลงมาเรื่อยๆ จนแฟนๆหรือคนดูหนังต่างคิดว่าให้มันจบไปที่ภาคแรก ลืมภาคสอง ไม่ต้องรอภาคสามที่อาจจะไม่มีจริง อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้วก็ได้
ทว่าเมื่อวันที่ 22 ที่ผ่านมา ในงานคอมมิคคอนที่ซานดิเอโก ซึ่งเป็นงานสายบันเทิงที่ใหญ่มากๆติดอันดับโลกที่หนังแฟนตาซีทั้งหลายมักมาปล่อยของกัน โดยเฉพาะฝั่งซูเปอร์ฮีโร่ทั้ง มาร์เวล และ ดีซี แต่ในงานกลับมีการเปิดตัวฉายหนังลึกลับเรื่อง The Woods ซึ่งเปิดเผยในภายหลังว่าเป็นภาคต่อ (ที่สื่อบางสำนักที่ได้เข้าชมยกให้ว่าคือภาคต่อที่แท้จริง) ของหนัง The Blair Witch Project ในชื่อ Blair Witch ตามที่ได้เล่าไปในช่วงแรกนั่นเอง งานนี้แฟนๆมีเฮสิครับ เพราะดูจากเทรลเลอร์ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ชื่อ The Woods นี่บรรยากาศมันได้มากๆ สมการรอคอยจริงๆ
Blair Witch ในมือของผู้กำกับ อดัม วินการ์ด เล่าเรื่อง 15 ปีหลังจากเหตุการณ์ที่หนังภาคแรกออกฉาย โดยมี เจมส์ น้องชายของฮีทเธอร์ที่สูญหายในภาคแรก เป็นผู้ดำเนินเรื่อง เขาได้ดูเทปของพี่ (จากไทม์ไลน์ในเว็บปลอมบอกว่าตำรวจได้มอบเทปของนักศึกษาในภาคแรกคืนแก่ญาติๆ ก่อนญาติๆจะส่งให้พิสูจน์เทปต่อไป) ทำให้เขาเชื่อว่าแท้จริงแล้วพี่สาวเขาอาจจะมีโอกาสมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เพราะในตอนท้ายเราก็ไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครฮีทเธอร์บ้างเพียงแต่เธอทำกล้องตกพื้น เขาจึงชวนเพื่อนๆรวมทั้งหมด 5 คน ออกตามหาความจริงในป่าแบล็คฮิลล์อีกครั้ง
หนังยังคาดเดาอะไรไม่ได้มาก เพราะผู้กำกับ อดัม ชอบทำหนังที่เปลี่ยนแนวไปมา อย่างใน You’re Next ก็เปลี่ยนหนังฆาตกรโรคจิตมาเป็นหนังแอ็กชั่นซ้อนแผนฆาตกรรมไปเสียอย่างนั้น แต่สื่อที่ได้เข้าชมรอบทดสอบต่างก็ออกมาชื่นชมในการรักษาเอกลักษณ์ของภาคแรก รวมถึงการครีเอทใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ที่ทีมหาความจริงมาครบมือทั้งโดรนและกล้องภาพคมชัดสดสวย รวมถึงฉากชวนช็อกที่ต้องอึ้งหลายฉาก ที่บอกว่าต้องรอดูกันเลยทีเดียว จึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองมากๆสำหรับหนังเรื่องนี้ที่มีกำหนดเข้าฉายที่ฝั่งอเมริกา 16 กันยายนปีนี้ ส่วนไทยคาดว่าน่าจะได้ดูหลังจากนั้นนะ