มาถึงภาคที่ 4 กับการเดินทางอันยาวนานของเทพเจ้าสายฟ้าอย่าง ธอร์ (Thor) ฮีโรพลังเทพเจ้าที่ตั้งแต่เขาคนนี้ปรากฏตัว (ค้อนมาก่อน) ในช่วง ‘End Credits’ ของ ‘Iron Man 2’ ที่บอกแฟน ๆ ว่าเรื่องต่อไปในจักรวาล ‘MCU’ (Marvel Cinematic Universe) จะเป็นเรื่องราวของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ นับจากนั้นเราก็ได้รู้จักความเป็นมาในชีวิตของธอร์ว่าต้องผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย วันนี้เรามาสรุปการเดินทางในชีวิตของธอร์กันว่า ตั้งแต่ที่เขาถูกส่งมายังโลกจนถึง ‘Thor Love and Thunder’ เทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง เพื่อเป็นการเท้าความก่อนดูภาพยนตร์ “ธอร์ด้วยรักและอัสนี” สำหรับคนที่ลืมไปแล้ว ส่วนใครที่พลาดเรื่องไหนไปหรือไม่เคยดูก็มาอ่านเพื่อเป็นการปูพื้นเพื่อจะได้ดูภาพยนตร์รู้เรื่อง โดยเราจะขอเล่าแบบนิยายผ่านคำพูดของธอร์เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน ถ้าพร้อมแล้วก็มามาดูชีวิตของธอร์กันเลย
คำเตือน เนื้อหาในบทความมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องภาพยนตร์ที่ Thor ไปปรากฏตัว
Thor
ตัวข้านั้นมีนามว่า ธอร์ (Thor) บุตรแห่ง โอดินน์ (Odin) ที่ในอนาคตข้าจะเป็นขึ้นปกครองดินแดนทั้ง 9 และขึ้นครองบัลลังก์แห่ง ‘Asgard’ เพื่อสร้างความสงบสุขให้กับดินแดนต่าง ๆ แต่ปัญหาในการปกครองก็คือยังมีบางดินแดนที่มิยอมสวามิภักดิ์ต่อ ‘Asgard’ นั่นก็หมายถึงการไม่ให้เกียรติโอดินน์และตัวข้าอย่างที่ โลกิ (Loki) อนุชาของข้าบอก โดยเฉพาะพวกยักษ์น้ำแข็ง ‘Frost Giants’ ที่มาขัดพิธีฉลองชัยให้กับข้า จนพวกข้าและสหายต้องไปปราบเพื่อไม่ให้พวกมันเหิมเกริมไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ข้าทำนั้นกลับทำให้ท่านพ่อกริ้วเป็นอย่างมาก จนท่านเนรเทศข้ามายังดินแดนหลังเขาอย่างโลกพร้อมค้อนคู่ใจ ‘Mjolnir’ เมื่อลงมาบนโลกข้าได้พบกับสหายชาวโลกที่มารับข้าตรงจุดตก นางมีชื่อว่า เจน ฟอสเตอร์ (Jane Foster) ดาร์ซี ลูอิส (Darcy Lewis) และ เอริค เซลวิก (Erik Selvig) มีเพียง เจน ฟอสเตอร์ ที่หน้าตาต้องใจข้ายิ่งนัก และตอนที่ข้าอยู่บนโลกข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งจากดาวดวงนี้มากมาย จนข้าพบกับสหายของข้า ‘Mjolnir’ แต่ข้ายกค้อนของข้าไม่ขึ้น เพราะท่านพ่อร่ายคำสั่งว่าตราบที่ข้าไม่คู่ควรข้าจะยกค้อนไม่ขึ้น ขณะที่ทาง ‘Asgard’ โลกิก็ทราบความจริงว่าตนเองเป็นลูกเลี้ยงที่เก็บมาจากยักษ์น้ำแข็ง จึงนำความนี้ไปถามท่านพ่อด้วยความโกรธทำให้ท่านเสียใจจนสิ้นสติ โลกิจึงใส่ร้ายว่าข้าทำร้ายท่านพ่อจึงส่ง ‘Destroyer’ มากำจัดข้า แต่เหล่าสหายจาก ‘Asgard’ ก็มาช่วยข้าแต่เราก็สู้ ‘Destroyer’ ไม่ได้ถ้าไม่มีค้อน และในวินาทีแห่งความเป็นความตายข้ายอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชาวเมือง จนข้าพิสูจน์ตนเองว่าคู่ควรด้วยการเสียสละ ‘Mjolnir’ จึงกลับมาหาข้าและเอาชนะได้ในที่สุด ตัวข้าที่อาลัยอาวรณ์อย่างยิ่งต้องลาจากเจนผู้เป็นที่รัก เพื่อไปสะสางกับโลกิที่จะส่งยักษ์น้ำแข็งบุกดินแดนทั้ง 9 ข้าจึงต้องทำลายสะพาน ‘Bifrost’ เพื่อทำลายแผนการของโลกิจนสำเร็จ ซึ่งท่านพ่อได้เสนอให้ข้าเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองดินแดน แต่ข้ารู้ตัวว่าตนเองยังไม่คู่ควรจึงไม่ขอรับตำแหน่งนี้ และหาทางไปยังโลกเพื่อหาเจนคนที่ข้ารัก
The Avengers
นับจากวันที่ข้าทำลายสะพาน ‘Bifrost’ ข้าก็ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้แม้จะหาทุกวิธีแล้วก็ตาม แต่แล้วข้าก็ทราบข่าวว่าโลกิอนุชาของข้ายังไม่ตายตอนที่ตกสะพาน ‘Bifrost’ แต่มันเลวร้ายกว่านั้นเพราะโลกิไปเข้าร่วมกับกองทัพของ ธานอส (Thanos) ท่านพ่อจึงต้องใช้พลังที่มีส่งข้ามายังโลกเพื่อยับยั้งแผนการของโลกิ ที่เมื่อมาถึงข้าก็พบว่าโลกิถูกกลุ่มคนที่สวมเกราะโลหะกับชายมีโล่จับไป ข้าจึงไปชิงตัวโลกิมาเพื่อรับโทษ ชายในชุดเกราะโลหะล้อเลียนชวนหัวว่าข้ายืมชุดพระบิดามาสวมมันช่างสามหาวยิ่งนัก หลังจากที่โรมรันกันข้าจึงรู้ว่าพวกมนุษย์กลุ่มนี้ก็อยากปกป้องโลก ตอนนั้นข้าได้ขอให้เหล่ามนุษย์พาเจนและเพื่อน ๆ ไปในที่ปลอดภัยห่างจากสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น และข้ายังได้เห็นความง้องแง้งของมนุษย์ (อ้างอิงฉบับพากย์ไทย) และข้าก็ทราบว่าโลกินั้นได้ขโมยสิ่งที่มนุษย์โลกเรียกว่า ‘Tesseract’ เพื่อเปิดประตูมิติเรียกกองทัพปีศาจมาบุกโลก แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นพวกมนุษย์ได้พลาดท่าไปปลุกปีศาจสีเขียวที่เขาเรียกว่า ฮัลค์ (Hulk) ตามแผนของโลกิ จนข้าตกลงไปยังกับดักของเขาจนเกือบวายชีวาในการต่อสู้ครานั้น ข้าที่รวบรวมสติจึงไปโรมรันในสงครามที่โลกิสร้างขึ้นเพื่อทำลายโลก ที่ข้ามารู้ภายหลังว่าสิ่งที่โลกิทำนั้นเพื่อต้องการตามหามณีเวลาที่ซ่อนบนโลก จนข้าและเหล่าสหายที่เรียกตัวเองว่า ‘Avengers’ สามารถปราบโลกิลงได้และพาเขาไปรับโทษพร้อมกับ ‘Tesseract’ แต่ก่อนหน้านั้นชายผู้สวมเกราะเหล็กที่ชื่อ โทนี่ สตาร์ค (Tony Stark) พาพวกข้าไปลิ้มลองอาหารมนุษย์โลกที่ข้ากินไปหลายชิ้นมาก ๆ มันช่างถูกลิ้นข้ายิ่งนัก
Thor The Dark World
ตอนนี้โลกิถูกคุมขังในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามบนโลก ส่วนข้าก็ไปโรมรันในสงครามที่ต่าง ๆ เพื่อทำให้อาณาจักรทั้ง 9 สงบลง และตอนนี้เราก็ซ่อมสะพาน ‘Bifrost’ สำเร็จ แต่ด้วยภารกิจอันมากล้นข้าจึงไม่สามารถไปหาเจนยอดดวงใจของข้าได้ แต่แล้วข้าก็ได้รู้ว่าตอนนี้เจนกำลังมีภัย เพราะนางบังเอิญไปเจอประตูมิติที่ท่านพ่อของข้าได้ซ่อน ‘Aether’ อาวุธทำลายล้างที่ในอดีตดาร์กเอลฟ์ นามว่า มาเลคิธ (Malekith) เกือบจะใช้ ‘Aether’ ทำลายดินแดนทั้ง 9 ในอดีต ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ‘Aether’ ได้เข้าไปในร่างของเจน จึงทำให้มาเลคิธต้องการตัวนางมันจึงบุกมาที่โลก ข้าจึงต้องพานางมายัง ‘Asgard’ แต่มาเลคิธก็ยังมาบุกยังบ้านของข้าแบบไม่เกรงกลัว และครานั้นท่านแม่ของข้านามว่า ฟริกก้า (Frigga) ได้จบชีพในการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านพ่อที่เสียใจก็ห้ามข้าไปช่วยเจนแต่ข้าก็ต้องไป โดยบอกเรื่องนี้กับโลกิที่ก็โกรธไม่แพ้ข้าเมื่อรู้ท่านแม่จากไป ข้ากับสหายและโลกิก็ไปขัดขวางแผนของมาเลคิธด้วยการวางแผนของโลกิ ที่มักมีอุบายที่แยบยลเสมอ จนสุดท้ายข้าก็สามารถช่วยเจนและปกป้องอาณาจักรทั้ง 9 ได้ แต่ต้องเสียสละโลกิในการโรมรันครั้งนี้ซึ่งข้าเสียใจมาก หลังจากนั้นข้าก็นำ ‘Aether’ ไปฝากไว้กับ ‘Collector’ ชายผู้สะสมของเพื่อความปลอดภัยของอาณาจักรทั้ง 9 และครานี้ข้าก็ปฏิเสธข้อเสนอของท่านพ่ออีกครั้งเพื่อไปอยู่กับเจนสุดที่รักของข้า โดยที่ข้ามิรู้เลยว่าโลกิได้ปลอมตัวเป็นท่านพ่อและส่งท่านไปบ้านพักคนชรา
Avengers Age of Ultron
ภายหลังที่ข้าอยู่บนโลกเหล่ามนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า ‘Avengers’ ก็ชวนข้าเข้ากลุ่มเพื่อกำจัดเหล่าศัตรูที่เรียกว่า ‘Hydra’ โดยสิ่งที่ข้าต้องการคือคทาที่โลกิใช้ในคราก่อน ที่ถูกพวกคนชั่วนำไปใช้ในทางที่ผิด ที่ข้ามารู้ภายหลังว่าพวกนี้มีนามว่า ‘Hydra’ ที่มันได้ใช้พลังจากคทาสร้างยอดมนุษย์สองพี่น้องขึ้นมา ซึ่งเมื่อเหล่า ‘Avengers’ ทำลาย ‘Hydra’ ลงได้และข้าได้คทาโลกิมาครอบครองพวกเราจึงฉลองกัน ตอนนั้นเองทุกคนพูดถึงการยกค้อนว่าทำไมมีข้าคนเดียวที่ยกได้ “ก็เพราะข้าคือคนที่คู่ควรยังไงละ พวกเจ้าไม่คู่ควรจึงยกไม่ขึ้น” นั่นคือสิ่งที่ข้าบอกกับคนเหล่านั้นที่พยายามยกค้อน จะมีเพียง สตีฟ โรเจอร์ส (Steve Rogers) เท่านั้นที่ขยับค้อนได้ ข้าจึงคิดว่าเขาคืออีกหนึ่งคนที่คู่ควร และในตอนนั้นเองข้าก็ได้รู้ว่ามนุษย์ยังไงก็ยังเป็นมนุษย์ เพราะความโง่เง่าอยากเทียบเคียงพระเจ้าหรือการหวังดีอยากปกป้องโลก จึงทำให้ไปปลุกวิญญาณในคทาโลกิที่เรียกตัวเองว่า อัลตรอน (Ultron) ขึ้นมา และอัลครอนก็คิดจะทำลายโลกใบนี้และนำตัวเองเป็นพระเจ้า โดยมีฝาแฝด ปิเอโตร (Pietro) กับ แวนด้า แม็กซิมอฟฟ์ (Wanda Maximoff) มาเป็นพวก ซึ่งในตอนนั้นข้าได้ถูกแฝดสาวผู้น้องสะกดจิต จนเห็นนิมิตถึงผู้คนที่กำลังหลงมัวเมาจนข้ารู้สึกหวั่นใจว่าจะเกิดเรื่องร้ายที่ ‘Asgard’ ข้าจึงต้องแยกตัวไปขอความช่วยเหลือจากเอริค เซลวิกเพื่อดูว่านิมิตที่ข้าเห็นนั้นคือสิ่งใดจนข้ารู้ถึงสิ่งที่ต้องทำ ขณะที่พวก ‘Avengers’ ที่ยึดร่างของอัลตรอนมาได้และคิดจะปลุกชีพร่างนั้นขึ้นมา ข้าจึงไปสนับสนุนจนปลุกร่างนั้นขึ้นมาพร้อมกับนามของเขาว่า วิชั่น (Vision) ที่สามารถถือ ‘Mjolnir’ ของข้าได้ ที่บอกเลยว่าข้าตกใจแทบสิ้นสติ แต่ด้วยพลังเทพข้าจึงมิเป็นอะไร ก่อนที่ข้าและเหล่า ‘Avengers’ จะหยุดแผนการทำลายโลกด้วยการยกเมืองมาทำลายโลกสำเร็จ ข้าจึงเดินทางกลับ ‘Asgard’ เพื่อไปดูนิมิตที่บอกถึงวัน ‘Ragnarok’ ที่จะมาถึง
Thor Ragnarok
2 ปีที่ข้ามัวแต่คิดถึงเรื่องคำทำนายในนิมิตในตอนนั้น จนทำให้ข้ากับเจนต้องแยกทางกัน เพราะข้ามีภารกิจต้องทำ หนึ่งในนั้นคือการเดินทางไปหาปีศาจเพลิง เซอร์เทอร์ (Surtur) ที่บอกว่ามันจะทำลาย ‘Asgard’ ตามคำทำนาย ‘Ragnarok’ เมื่อเซอร์เทอร์สวมมงกุฎของมันเข้ากับเปลวไฟนิรันดร์ใต้ ‘Asgard’ ซึ่งลิขิตนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ข้าว่ามันเปลี่ยนไปแล้วนะ เพราะข้าปราบเซอร์เทอร์ลงได้อย่างง่ายดาย ข้าจึงกลับไปยัง ‘Asgard’ และรู้ว่าโลกิยังไม่ตายแถมยังปลอมตัวเป็นท่านพ่อ (ลึก ๆ ข้ารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าโลกิยังไม่ตายแต่ข้าก็รู้สึกอดโล่งใจมิได้) ข้าจึงบังคับให้โลกิพาข้าไปหาทางพ่อด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าจอมเวท ที่เมื่อเจอท่านที่กำลังสิ้นอายุขัยท่านได้บอกให้ข้าและโลกิปกป้อง ‘Asgard’ เพราะเมื่อสิ้นท่านพ่อ พระเชษฐภคินีของข้านามว่า เฮลา (Hela) ก็ได้รับการปลดปล่อย โดยนางคืออดีตเจ้าของค้อน ‘Mjolnir’ และด้วยพลังของนางจึงสามารถทำลายค้อนได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ข้ากับโลกิกำลังหนีไปตั้งหลักข้ากับโลกิก็ตกไปยังมิติอื่น ส่วนเฮลาก็ไปยัง ‘Asgard’ และฆ่าเพื่อน ๆ ข้าทุกคนจนสิ้นก่อนจะขึ้นปกครองที่นั่น ส่วนข้าก็ตกไปยังดาวเคราะห์ขยะ ที่นั่นข้าได้พบกับ ‘Scrapper 142’ ที่ข้ามาทราบภายหลังว่านางคือ ‘Valkyrie’ กองกำลังในตำนานที่มีแต่นักรบหญิง ที่ถูกสังหารในการต่อสู้กับเฮล่าเมื่อนานมาแล้ว ข้าที่ถูกนางจับมาก็ถูกตัดผมจนสั้นและส่งไปยังสนามรบ ที่นั่นข้าพบสหายมนุษย์หินกับแมลงนักสู้รวมถึงโลกิที่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน และข้าได้เจอกับสหายเก่าอย่าง บรูซ แบนเนอร์ (Bruce Banner) ที่ตอนนี้โดนฮัลค์ยึดร่างไปแล้ว เราทั้งคู่โรมรันกันจนข้าพ่ายแพ้ หลังจากจบศึกเราก็ได้คุยกันถึงเรื่องยานที่บรูซบินมา แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นข้าได้เห็นก้นและไอ้อันเขียว ๆ ของเจ้ายักษ์ จนสุดท้าย บรูซ แบนเนอร์ ก็กลับมาข้าจึงไปขอให้บรูซช่วยพาเราหนีไปจากที่นี่ แต่งานนี้ต้องมีโลกิและวาลคิรีที่กว่าทั้งคู่จะยอมมาช่วย ข้าต้องให้วาลคิรีเห็นสิ่งที่เฮลาทำที่ในอดีตกับกองทัพของนาง ที่เคยไปโรมรันกับเฮลาแต่พ่ายแพ้มีเพียงนางคนเดียวที่รอดชีวิต นางจึงยอมร่วมมือในการต่อสู้ครั้งนี้ ที่ข้าได้สูญเสียดวงตาไปในการต่อสู้หนึ่งข้างแต่ข้าก็ปลุกพลังในตัวเองขึ้นมาได้โดยที่ไม่มีค้อน แต่ข้าก็ไม่สามารถสู้กับเฮลาได้แต่ก็สามารถพาชาว ‘Asgard’ หนีขึ้นยานมาได้ ข้าจึงสั่งให้โลกิไปปลุกเซอร์เทอร์ที่เหลือแค่มงกุฎซึ่งอยู่ใต้ดินของปราสาท โดยการโยนมงกุฎลงไปในเปลวไฟนิรันดร์ใต้ ‘Asgard’ จนสามารถปราบเฮลาลงได้ แต่ ‘Asgard’ ก็ต้องถูกทำลายตามคำทำนาย แถมโลกิยังหยิบ ‘Tesseract’ มาด้วยโดยที่ข้าในตอนนั้นไม่รู้ มาก่อน ส่วนพวกเราชาว ‘Asgard’ ก็ลอยยานในอวกาศอย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่จะมียานขนาดใหญ่มาโจมตี
Avengers Infinity War
ผู้ที่มาโจมตียานของข้าคือธานอสที่กำลังรวบรวมมณีตามที่ต่าง ๆ ที่ตอนนี้มันได้มณีพลังมาแล้ว ข้าและฮัลค์จึงไม่สามารถต่อกรกับมันได้ แถมในตอนนี้มันยังได้มณีอวกาศไปอีกมันจึงสามารถไปไหนก็ได้ในจักรวาล และในศึกนั้นโลกิได้จบชีวิตที่นั่น ส่วนข้าและชาว ‘Asgard’ ครึ่งหนึ่งสามารถหนีมาได้ ส่วนฮัลค์ถูกส่งมายังโลกเพื่อเตือนภัยร้ายที่จะตามมา เพราะที่นั่นมีมณีอยู่ถึงสองเม็ด ส่วนข้าก็ถูกทิ้งให้ตายในอวกาศอย่างเดียวดาย แต่ข้าก็รอดมาได้เพราะมีกลุ่มจำอวดที่เรียกตัวเองว่า ‘Guardians of the Galaxy’ ที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากยานมาช่วยข้าไว้ ตัวข้าที่ได้สติก็คิดถึงศาสตราวุธที่เอาไว้สู้กับธานอส ตัวข้ากับเจ้ากระต่ายและเจ้าต้นไม้ก็ได้ตกลงกันว่าเราจะไปที่ ‘Nidavellir’ เพื่อสร้างศาสตราวุธ ส่วนที่เหลือจะไปหา ‘Collector’ ที่ข้าฝาก ‘Aether’ ที่มันก็คือมณีแห่งความเป็นจริง ข้าที่ได้ตาใหม่จากเจ้ากระต่ายก็ไปถึง ‘Nidavellir’ ข้าก็พบกับ อีทรี่ (Eitri) คนแคระที่สร้างอาวุธ ที่เขาสารภาพว่าได้สร้างถุงมือให้ธานอสเพื่อแลกกับชีวิตคนบนดาว แต่ธานอสก็ฆ่าทุกคนและตัดมือเขาทิ้ง อีทรี่จึงสร้างขวาน ‘Stormbreaker’ ให้ ซึ่งขวานนี้สามารถสร้างสะพาน ‘Bifrost’ ได้ ข้ากับเจ้ากระต่ายและเจ้าต้นไม้ก็มายังโลกที่กำลังโรมรันศึกที่ ‘Wakanda’ ที่ตอนนั้นข้ามิรู้เลยว่าธานอสได้รวมมณีวิญญาณและเวลามาแล้ว เหลือแค่มณีจิตใจที่อยู่กับวิชั่นที่ตอนนั้นข้าก็สู้ศึกแบบบ้าคลั่ง จนเมื่อธานอสออกมาข้าก็ไปจัดการมันทันที ที่แม้มันจะรวมมณีครบมันก็ไม่สามารถต่อกรกับข้าได้ ข้าปัก ‘Stormbreaker’ ใส่อกของมันและกำลังจะให้มันตายอย่างช้า ๆ เพื่อชดใช้ความผิดที่มันก่อ แต่ข้าทำพลาดเมื่อธานอสใช้แรงที่มีดีดนิ้วและพูดประโยคแทงใจข้าว่า “เจ้าน่าจะเล็งที่หัวของข้า” ก่อนที่สิ่งมีชีวิตทั้งจักรวาลจะหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนธานอสก็หนีไปได้ทิ้งความปวดร้าวเอาไว้ในใจข้าเรื่อยมา
Avengers Endgame
พวกข้าและเหล่า ‘Avengers’ ต่างเศร้าในสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าโทษตัวเองที่ทำพลาดในครานั้น แต่ก็มีเรื่องดีคือพวกเราตามตัวจนเจอธานอสจนเจอ แต่ข่าวร้ายคือมันได้ทำลายมณีทั้งหมดไปแล้ว ข้าจึงสังหารมันโดยการเล็งที่หัว ตามที่มันเคยลั่นวาจาเหยียดหยามข้าไว้ครานั้น 5 ปีผ่านไปหลังเหตุการณ์ศึกในครานั้น ประชากรกว่าครึ่งจักรวาลหายไปเป็นฝุ่น ส่วนชาว ‘Asgard’ ที่เหลือก็มาตั้งรกรากบนโลกในชื่อ ‘New Asgard’ ข้าที่หมดชีวิตชีวาในการโรมรันศึกจึงออกมาอยู่กับเจ้ามนุษย์หินและเจ้าแมลงในบ้านบนเขา และปล่อยให้วาลคิรีดูแล ‘New Asgard’ แทนข้า ส่วนข้าก็เล่นเกมและมีเรื่องกับเจ้า ‘Noobmaster69’ แต่แล้วแสงแห่งความหวังก็มาถึงพร้อมกับเจ้ายักษ์เขียวและเจ้ากระต่าย ที่บอกว่าเราสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ เพราะชายที่หดตัวค้นพบวิธีข้ามเวลาไปเก็บมณีในอดีต ซึ่งข้าที่ปล่อยตัวจนอ้วนก็ร่วมเดินทางด้วย เพราะหนึ่งในการเดินทางข้ามเวลาข้ากับเจ้ากระต่ายต้องไปเอา ‘Aether’ จากเจนสมัยที่นางมาอยู่ที่ ‘Asgard’ ในการเดินทางครั้งนั้นข้าได้พบท่านแม่อีกครั้ง แม้ข้าจะอ้วนลงพุงและเปลี่ยนไปมากแต่ท่านก็ยังจำข้าได้ ซึ่งข้าจะบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับท่านแม่แต่นางก็ปฏิเสธข้าจึงลานางมาพร้อมกับยืม ‘Mjolnir’ มาด้วยเพราะข้ายังคงคู่ควร เมื่อกลับมาข้าก็ทราบว่า นาตาชา โรมานอฟฟ์ (Natalia Romanova) ได้สละชีวิตเพื่อรับมณีวิญญาณในครั้งนี้ พวกเราที่รวมมณีครบก็ดีดนิ้วเรียกทุกคนกลับมาได้ ก่อนที่ศึกสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อธานาสในอดีตตามมาด้วย ข้ากับสหายที่เหลือจึงสู้ศึกสุดท้ายกับธานอส ที่แม้ข้าจะใช้ทั้งค้อน ‘Mjolnir’ และ ‘Stormbreaker’ ก็มิอาจต่อกรธานอสได้ แต่แล้ว สตีฟ โรเจอร์ส ก็จับ ‘Mjolnir’ สู้ศึกตามที่ข้าคิดไว้มิมีผิด จนท้ายที่สุดพวกเราก็ชนะศึกในครานี้ด้วยการดีดนิ้วครั้งที่ 2 โดยฝีมือของ โทนี่ สตาร์ค ที่เขาเป็นเพียงมนุษย์จึงมิอาจทนพลังของมณีได้ ซึ่งถ้าเป็นข้าคงดีดนิ้วเล่นสบาย ๆ อย่างแน่นอน หลังจากจบศึกและการเสียสละของ โทนี่ สตาร์ค ข้ากับสหายจำอวด ‘Guardians of the Galaxy’ ก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง และให้วาลคิรีครองบัลลังก์แห่ง ‘New Asgard’ เพราะมันไม่สำคัญสำหรับข้าอีกแล้ว โดยที่ข้ามิรู้เลยว่าการเดินทางเพื่อชำระล้างจิตวิญญาณของข้า จะนำไปสู่การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ในภายหลัง
ก็จบกันไปแล้วกับการบอกเล่าเรื่องราวของธอร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ จนถึง ‘Avengers Endgame’ เพื่อเป็นการเท้าความก่อนไปดู ‘Thor Love and Thunder’ เพื่อบอกให้รู้ว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ธอร์ต้องผ่านอะไรมาบ้าง โดยเนื้อหาในบทความได้เปลี่ยนการเล่าเนื้อหาปกติที่ทุกคนส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้ว มาเป็นการบอกเล่าเรื่องราวผ่านการบอกเล่าของธอร์แทน (ประมาณว่าธอร์มาเล่าเรื่องให้คุณอ่าน) ในบทความจึงมีภาษาลิเก ๆ เพื่อความเหมาะสมกับเนื้อหาหวังว่าทุกท่านจะชอบกัน และถ้าบทความขาดการเล่าเรื่องของธอร์ตกหล่นตรงไหนไปก็ขออภัยด้วย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็รอติดตามกันได้ที่แบไต๋นี่ที่เดียว รับรองว่าคุณจะได้อ่านบทความแปลก ๆ หรือสิ่งที่น่าสนใจแน่นอนเข้ามาดูกันตอนนี้ได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส