ต้องเล่าย้อนกันสักนิดกับ อลิซในแดนมหัศจรรย์ ฉบับดิสนีย์ ที่ภาคแรกได้ ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับสายแหวกแนวมานำเสนอมุมมองใหม่ จากเรื่องราวในหนังสือของนักเขียนชื่อดังอย่าง ลูอิส คาร์รอลล์ ที่ว่าด้วยเด็กหญิง อลิซ วัย 7 ขวบที่หลงเข้าไปในดินแดนใต้พิภพ และพบกับตัวละครแปลกประหลาดมากมาย รวมถึงบททดสอบต่างๆด้วย
โดย ทิม เบอร์ตัน ได้เลือกนำหนังสือสองเล่ม คือ Alice’s Adventures in Wonderland (1865) ที่อลิซตามกระต่ายขาวเข้าโพรงลงมายังแดนมหัศจรรย์ ได้พบกับแมดแฮทเทอร์และแมวเชสเซอร์เป็นครั้งแรก จนการต่อสู้เอาตัวรอดจากราชินีโพแดงในท้ายเรื่อง กับ Through the Looking-Glass, and What Alice Found There (1871) ซึ่งเป็นภาคต่อว่าด้วยอลิซวัย 7 ขวบครึ่ง ที่อยากเข้าไปในโลกกระจก และต้องเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างการแข่งหมากรุกของราชินีแดงและราชินีขาว ที่มีตัวละครอย่าง ฮัมพ์ตี้ดัมพ์ตี้ และแฝดพี่น้องทวีดเดิ้ล รวมถึงแมดแฮทเทอร์เป็นคู่ต่อสู้ เบอร์ตันเลือกผสมตัวละครของทั้งสองเล่มโดยใช้โครงเรื่องจากเล่มแรกพัฒนามาเป็นหนัง Alice in Wonderland (2010) และปรับภาพอลิซเด็กน้อย มาเป็นสาวที่โตขึ้นและตกอยู่ใต้สังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงต้องอยู่บ้านและแต่งงานเป็นแม่ของลูกที่ดี แน่นอนความฝันการเป็นนักผจญภัยของสาวน้อยอลิซตามรอยพ่อ เป็นเรื่องน่าขบขันและเป็นไปไม่ได้เลย การเข้าไปในโลกมหัศจรรย์จึงเป็นการขจัดปมในใจของตัวละครด้วย
ภาพจาก www.goodreads.com
มาถึงภาคสอง หนังเปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็น เจมส์ โบบิน ที่โด่งดังมาจากหนังอย่าง The Muppets (2011) และกำกับรายการอย่าง Da Ali G Show ที่สร้างชื่อให้ดาราตลก ซาช่า บารอน โคเฮน ที่มาแสดงนำในเรื่องนี้ด้วย แม้จะเปลี่ยนผู้กำกับแต่ ทิม เบอร์ตัน ก็ยังคงนั่งตำแหน่งโปรดิวเซอร์ และได้ ลินดา วูลเวอร์ตัน ที่เขียนบทในภาคแรกมาสานต่อ ทำให้หนังต่อเนื่องลื่นไหลจากภาคแรกอย่างลงตัว ด้วยความที่ภาคแรกนั้นได้นำเนื้อหาในส่วนของหนังสือ 2 เล่มมาเล่นไปหมดแล้ว ลินดา จึงได้นำบางส่วนในเล่มที่สองมาขยายเป็นบทหนังเวอร์ชั่นใหม่ที่แฟนหนังสือไม่เคยได้สัมผัสได้อย่างน่าสนใจ
หนังเล่าถึง อลิซ ที่หลังจากกลับมายังโลกของตัวเองในภาคแรก เธอไล่ตามความฝันสานต่อการเป็นกัปตันเรือหญิงให้กับเรือนามวันเดอร์ของพ่อเธอ ออกเดินทางข้ามโลกไปสำรวจดินแดนที่ยังไม่มีใครเคยไป หนังเปิดตัวด้วยฉากการหนีตายจากโจรสลัดท่ามกลางพายุคลั่งและหินโสโครกได้อย่างสนุกมากๆ ก่อนจะเปิดปูมปัญหาของอลิซครั้งใหม่ เมื่อเธอกลับขึ้นฝั่งและพบบ้านของแม่เธอและเรือวันเดอร์ที่น่าภาคภูมิใจของพ่อกำลังจะโดนยึดจาก เฮมิช ลูกเศรษฐีสุดสปอยล์ที่เธอเคยหักหน้าปฏิเสธการแต่งงานในที่สาธารณะในภาคก่อน ซึ่งบัดนี้ได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านแอกคอร์ทเจ้าหนี้คนสำคัญของเธอแล้ว ในระหว่างที่ความฝันกำลังพังลงเมื่อพบโลกความจริง เธอก็ถูกชักนำสู่ดินแดนมหัศจรรย์อีกครั้งเพื่อช่วยเหลือ แฮทเทอร์ ซึ่งหลบหน้าผู้คนเพราะไม่มีใครเชื่อที่เขาพูดว่าครอบครัวของเขายังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าใครจำได้ในภาคแรกแฮทเทอร์เคยเล่าว่าครอบครัวเขาถูกเจ้ามังกร แจ๊บเบอร์ว๊อคกี้ ของราชินีโพแดงหรือราชินีแดงในภาคนี้สังหารเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่แฮทเทอร์พูดในคราวนี้จึงยากจะเชื่ออย่างมาก แม้แต่ตัวอลิซที่เป็นเพื่อนสนิทของแฮทเทอร์เองก็ตาม อลิซที่เคยมีคติว่าทุกอย่างเป็นไปได้เสมอเมื่อเพิ่งเจอกับเรื่องที่บ้านก็เริ่มเปลี่ยนความคิด แฮทเทอร์เสียใจที่ไม่มีใครเชื่อและค่อยๆล้มป่วยลงจนอาจจะตายได้ ราชินีขาวมิรานา จึงเสนอแผนสุดท้าทายออกมาว่า ให้อลิซไปขโมยแก่นเวลาของ ไทม์ ที่คอยดูแลกาลเวลาต่างๆมาเพื่อย้อนเวลาไปช่วยเหลือครอบครัวของแฮทเทอร์ก่อนจะถูกมังกรฆ่าตาย และที่ปราสาทนั้นเองอลิซก็ต้องเผชิญทั้งลูกน้องของไทม์ และศัตรูคู่แค้นอย่าง ราชินีแดงไอราเซเบ็ธ ผู้เป็นพี่ของราชินีขาวนั้นเอง
บทหนังจัดว่าทำได้กลมกล่อมและคิดมาละเอียดมาก โดยสามารถคลายปมต่างๆที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผล ทั้งภาคเก่าๆ ตั้งแต่ว่า ทำไมราชินีโพแดงถึงหัวใหญ่ ทำไมนางชอบสั่งตัดหัวคน และทำไมถึงแค้นราชินีขาวและแฮทเทอร์นัก ทำไมแฮทเทอร์ถึงสร้างหมวกประหลาดๆ เป็นต้น หรือจะเป็นปมภาคใหม่อย่าง ราชินีขาวกับแดงจะคืนดีกันได้อย่างไร จะช่วยเหลือครอบครัวแฮทเทอร์ได้อย่างไร เราจะแก้ไขอดีตได้ไหม เวลาคือสิ่งใด เราควรจัดการกับเวลาและอุปสรรคอย่างไร ซึ่งสะท้อนกลับไปที่ปมในใจของอลิซเรื่องความเชื่อที่พังทลายลงได้สมบูรณ์ลงตัวทุกส่วน คือได้ทั้งความสนุก ลุ้น ตื่นเต้น ซาบซึ้ง อิ่มตาอิ่มใจ ได้ข้อคิด ขอชมเลยว่าบทหนังเล่นกับคำว่า เวลา ที่เป็นหนึ่งในตัวเดินเรื่องหลักของภาคนี้มาได้อย่างดีเยี่ยม
สรุป
แม้หนังจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรตอนฉายที่อเมริกาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อาจจะด้วยหลายปัจจัยทั้งข่าวฉาวการหย่าร้างระหว่างจอห์นนี่ เด็ปป์กับภรรยา ทั้งการฉายชนกับหนังใหญ่อย่าง เอ็กเมน อะพอคาลิปส์ หรือตัวหนังเองที่ไม่ถูกใจนักวิจารณ์หลายสำนักเท่าใด โดยเฉพาะประเด็นเปรียบเทียบกับฉบับหนังสือที่คลาสสิคไปแล้วนั่นเอง
ยอมรับว่าตอนแรกที่เห็นความล้มเหลวด้านคำวิจารณ์และรายได้แอบหวั่นใจว่าหนังจะน่าเบื่อเหมือนกัน แต่พอดูแล้วผิดคาดครับ ใครเริ่มดูภาคนี้เลยก็สามารถรู้เรื่องได้ไม่ยากเพราะมีการปูปมและตัวละครให้ในระดับหนึ่ง แถมยังสนุกไปกับเรื่องราวสุดแฟนตาซี และวิสัยทัศน์ด้านภาพ บวกกราฟฟิกสุดอลังการตระการตาได้แบบไม่มีเบื่อเลย ตรงนี้ยอมรับเลยว่าภาพสวยงามมากๆ รอบที่ผมได้ดูนั้นเป็นระบบสามมิติซึ่งทำได้ดีในหลายๆ ฉากมากๆ ครับ ขณะเดียวกันแฟนๆในภาคเก่าก็คงจะฟินสุดๆกับบทสรุปที่ลงตัว และมีน้ำตารื้นกับมิตรภาพของเหล่าเพื่อนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ที่มาร่ำลาคนดูส่งท้ายกันในภาคจบนี้กันบ้างล่ะนะครับ แต่แฟนหนังสือคงต้องทำใจหน่อยว่ามันไม่เหมือนกับในหนังสือแน่ๆ ล่ะครับ แต่มันก็ดูสนุกในแบบหนังที่มันเป็นนะครับ น่าจะเป็นความเพลิดเพลินในช่วงวันแม่ที่ดีครับ