Our Kind of Traitor เป็นผลงานที่เปิดตัวแบบจำกัดโรงในอเมริกาไปเมื่อเดือนก่อน และเรียกคะแนนวิจารณ์ในระดับกลางค่อนบน ตามประสาหนังตลาดจากฝั่งยุโรปที่มักไม่เฟี้ยวฟ้าวเร้าใจแบบฮอลลีวู้ดนัก แต่กระนั้นหนังจากฝีมือผู้กำกับหญิงคนใหม่ที่จัดจ้านมาจากสายซีรีส์โทรทัศน์อย่าง Susanna White ก็สามารถดึงดารานำอย่าง Ewan McGregor ที่ช่วงหลังก็หายๆไปจากหนังบล็อกบัสเตอร์ มาร่วมกับ Naomie Harris ที่เพิ่งรับบท มันนี่เพนนี จากหนังเจมส์บอนด์อย่าง Spectre รับบทคู่รักที่ต้องมาพัวพันโลกของอาชญากรรมการฟอกเงิน แก๊งมาเฟียรัสเซีย หน่วยงานลับของอังกฤษ และความฉ้อฉลของโลกทุกยุคทุกสมัยอย่างช่วยไม่ได้
หนังดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันเมื่อปี 2010 ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ 22 ของสุดยอดนักเขียนแนวธริลเลอร์สายลับและอาชญากรรมอย่าง John le Carré ที่ผลงานก่อนๆของเขาเคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังอย่าง The Constant Gardener (2005) ที่ว่าด้วยการเดินทางสืบหาเหตุการตายปริศนาของภรรยาสาวในแอฟริกา และ Tinker Tailor Soldier Spy (2011) เกี่ยวกับแวดวงสายลับยุคสงครามเย็นที่ซ้อนแผนกันไปกันมา ถ้าใครเคยดูผลงานหนังจากนิยายของเขาจะพบว่า สไตล์การเล่าเรื่องของเขาจะค่อนข้างเนิบนิ่ง และดึงเราดิ่งลึกลงไปสู่โลกที่ไม่คุ้นชิน เพิ่มปริศนาเดินหน้าให้คนดูติดตามอย่างลุ่มลึกมีเอกลักษณ์ ซึ่งใครหวังจะไปเน้นแนวแอ็กชั่นแบบหนังสายลับโลกใหม่ก็ขอบอกเลยว่าน่าจะไม่ถูกชะตากับหนังเรื่องนี้นัก เพราะขนาดฉากไคลแม็กซ์ยิงกันสุดระห่ำ หนังยังให้เราฟังจากเสียงเอาเท่านั้นเลย แต่ใครชอบสายดราม่า ธริลเลอร์แบบมีคลาส มีรสนิยม บอกเลยว่านานๆทีมีให้ชม อย่าพลาด
หนังเล่าเรื่องของ เพอร์รี่ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่พยายามชดใช้และกู้คืนความสัมพันธ์กับ เกล ภรรยาสาวที่มีอาชีพทนายความ โดยพาไปสวีทหวานในโมร็อกโค แต่กระนั้นความสัมพันธ์ก็ดูไม่ค่อยราบรื่นนัก ในค่ำคืนของดินเนอร์ที่น่ากระอั่กกระอ่วน เพอร์รี่ได้บังเอิญพบกับ ดีม่า เศรษฐีที่เข้ามาตีสนิทกับเขา โดยเชิญชวนให้ไปร่วมปาร์ตี้ที่บ้าน ก่อนจะพาตัวไปยังดาดฟ้าแล้วสารภาพว่าเขาคือนักฟอกเงินมือโปรให้กับแก๊งวอรี่ของรัสเซีย การเปลี่ยนยุคของแก๊งทำให้ พรินซ์ ลูกชายหัวหน้าแก๊งคนเก่าขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อ และสิ่งแรกที่พรินซ์ทำก็คือย้ายการคุมเงินมาไว้ในมือ และลอบเก็บอดีตสมาชิกแก๊งที่ไม่มีประโยชน์กับเขา ซึ่งดีม่านับเป็นเบอร์หนึ่งในบัญชีที่จะถูกตามเก็บครั้งนี้ โอกาสรอดของดีม่าและครอบครัวอยู่ที่การขายข้อมูลแก๊งให้หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ หรือ MI6 โดยส่งต่อให้เพอร์รี่ฝากช่วยเป็นสะพานเชื่อมไปยัง เฮกเตอร์ เจ้าหน้าที่ของหน่วย MI6 แม้จะไม่อยากวุ่นวายแต่ด้วยความเป็นคนที่จิตใจดี เพอร์รี่อดสงสารครอบครัวของดีม่าไม่ได้ เขาจึงเริ่มพัวพันกับการต่อรองที่มีคนจับตาหมายหัว และมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเข้ามาเอี่ยวกับการฉ้อฉลครั้งใหญ่นี้อย่างช่วยไม่ได้
แม้จะฉาบหน้าด้วยบทธริลเลอร์หนีการไล่ล่า และเฉือนคม แต่หนังก็ไม่ได้เล่าอย่างซับซ้อนจนตามไม่ทันแต่อย่างใด ออกจะเล่าด้วยท่าง่ายแต่เน้นความสมบูรณ์ของท่าเพื่อเก็บคะแนนเต็มมากกว่าทำให้หวือหวาโดดเด่น โดยผู้เขียนบทอย่าง Hossein Amini ก็บอกว่าจุดแข็งของเรื่องราวจากนิยายคือ การพูดถึงเศรษฐกิจระดับโลกหลังจากวิกฤตในปี 2008 และผลกระทบที่รัสเซียและยุโรปส่งผลต่ออังกฤษ โดยทั้งหมดนี้ได้ถูกเล่าผ่านตัวละครที่สองสามีภรรยาจะได้พบตลอดการเดินทางนี้ ในขณะที่ผู้กำกับของหนังอย่าง ซูซานน่า ก็เสริมว่า “นี่เป็นเรื่องราวที่พูดถึงโลกสมัยใหม่ที่เรากำลังอาศัยอยู่อย่างที่จอห์นไม่เคยเขียนถึงในนิยายของเขามาก่อน มันคือการเดินทางครั้งใหญ่ที่ตัวละครต้องเดินทางถึง 5 ประเทศ เรามีตัวละครที่เป็นชาวตะวันออกกลางที่ทำงานในหน่วย MI6 เพื่อทำหน้าที่ต่อต้านการก่อการร้ายอย่างที่มันเป็นจริงๆในทุกวันนี้ หนังเรื่องนี้จะทำให้เราต้องขบคิดถึงการมีชีวิตอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน”
ความโดดเด่นของหนัง เกิดจากบทที่ขมวดเกลียวให้เราร่วมชะตากรรมไปกับตัวละครหลักทีละนิด จนกลายเป็นความรู้สึกผูกพันและร่วมลุ้นไปกับตัวละครต่างๆคือความสุดยอด หนังเผยแง่มุมของตัวละครอย่างไม่เร่งรีบ ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครคนรัสเซียที่ในหนังมักถูกนำเสนออย่างเย็นชาก็มีหัวใจเช่นกัน ซึ่งการแสดงของดาราที่มาทั้งหลักทั้งสมทบนั้นต้องบอกว่าสุดยอดมากๆ ทั้งน่าจดจำและมีเสน่ห์ชวนผูกพันอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะตัวยืนอย่าง Stellan Skarsgård ในบท ดีม่า ที่แสดงได้ลุ่มลึกทรงพลังมาก เป็นคนเลวที่เราเกลียดไม่ลงจริงๆ ในขณะที่สองตัวนำอย่าง อีวาน และ นาโอมี่ ก็คุมทางของตัวเองได้อย่างดี ไม่มีตัวละครตัวไหนที่แบนเป็นเส้นตรงแต่อย่างใด อย่างที่บอกเลยครับ ใครมาสายดราม่าอาชญากรรมน่าจะชอบมาก
ซึ่งนอกจากนักแสดงต่างๆแล้วในหนังยังมีเจ้าของนิยายอย่าง John le Carré ก็ได้มารับเชิญบทเล็กๆเป็น รปภ. ของพิพิธภัณฑ์ที่เบิร์นด้วย ซึ่งนับเป็นการปรากฏตัวในหนังโรงที่สร้างจากนิยายแกครั้งแรกด้วย ตรงนี้หนังถ่ายแกอยู่หลายช็อตเรียกว่าคนที่รู้ไม่น่าพลาดครับ ไปชมหน้าตาแกได้เลยในฉากเก็บตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ไอนสไตน์
สุดท้ายที่ขอชื่นชมเลยคือ งานภาพ ที่จัดวางแสง และการวางเฟรม สวยมากๆ ประกอบกับวิวของภูมิประเทศที่สวยระดับโลกทั้ง โมร็อกโค ลอนดอน ปารีส สวิสเซอร์แลนด์ และเทือกเขาแอลป์ ทำให้บางฉากนี่เหมือนภาพวาดชั้นยอดเลยครับ เสริมหนังได้ดีมาก
จุดอ่อนของหนัง คงมีข้อเดียวเลยครับ คือ ความคาดหวังที่ผิดพลาดของคนดู เพราะถ้าว่าด้วยสายดราม่า นิ่งๆ ค่อยๆปู ค่อยๆบีบคั้นหัวใจ เป็นหลักนำอย่างที่หนังมันเป็นจริงๆ มันสมบูรณ์ในตัวแล้วครับ แต่มันจะผิดเต็มๆผิดไปทุกส่วนของหนังเลย ถ้าคนดูตั้งใจเข้าไปดูหนังแบบสายฮอลลีวู้ดที่หวือหวาเฟี้ยวฟ้าวทั้งจังหวะและพล็อต ดังนั้นกำหนดความเข้าใจกับแนวหนังให้ดีก่อนชมนะครับ ถ้าใครคิดว่าไม่ใช่กับแนวนี้แน่ๆ ควรผ่านครับอย่าฝืนเข้าไปกรนในโรง แต่สำหรับคอละเมียดบีบหัวใจแบบมีคลาส ที่นานๆ ถึงจะมีมาให้ชม ผมพูดเลยว่าไม่ควรพลาดครับ