“หนังคัลต์”มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Cult Films มีศัพท์ภาษาไทยด้วยว่า “ภาพยนตร์เกินวิสัย” หมายถึงภาพยนตร์ที่มีผู้ชมอยู่ในกลุ่มเล็กๆ โดยผู้ชมเหล่านั้นเป็นแฟนเดนตายสำหรับหนังประเภทนั้นหรือเรื่องราวนั้นๆ ทีเดียว และความเป็นหนังคัลต์นั้นก็ไม่จำกัดสัญชาติ ประเภท ต้นทุนต่ำหรือสูงก็ได้ด้วย ขอแค่มี “ผู้คลั่งไคล้” อยู่ก็พอ ซึ่ง Constantine ก็จัดเป็นหนึ่งในหนังคัลต์

Constantine ออกฉายเมื่อปี 2005 ยังเป็นยุคที่หนังซูเปอร์ฮีโรยังไม่ครองตลาดเช่นทุกวันนี้ สตูดิโอต่าง ๆ ยังมองว่าการสร้างหนังซูเปอร์ฮีโรนั้นมีความเสี่ยงสูง หลาย ๆ เรื่องก็คว่ำมาแล้ว อย่าง Catwoman (2004) เป็นต้น จนกระทั่ง คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้ลงมือรีบูต Batman ด้วย Batman Begins (2005) และกลายเป็นหนังไตรภาคที่ประสบความสำเร็จ นับเป็นการเปลี่ยนโฉมของหนังซูเปอร์ฮีโร ทำให้มาร์เวลกล้าเสี่ยงกับ Iron Man ในปี 2008 แต่ในปีเดียวกันที่ Batman Begin ก็มีหนังซูเปอร์ฮีโรของดีซีเช่นกันออกฉาย เป็นเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ต่อสู้กับภูติผีจากนรกและเทวดาเกเรจากสวรรค์ ออกมาเป็นหนังแนวนัวร์ ระทึกขวัญ กำกับโดย ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence) ผู้กำกับที่คร่ำหวอดในวงการมิวสิควิดีโอมายาวนาน และเพิ่งประเดิมงานกำกับหนังยาวกับเรื่องนี้เอง และเรื่องนี้ก็คือ Constantine

ผู้เขียน Constantine ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sting

หนังดัดแปลงจาก Hellblazer การ์ตูนดีซี ที่ได้ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) มารับบทนำ ท่ามกลางเสียงกังขาของเหล่าแฟน ๆ การ์ตูน ที่ไม่ใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ในคอมิก เพราะในการ์ตูนนั้น จอห์น คอนสแทนทิน นั้นผมบลอนด์ และ พูดสำเนียงอังกฤษ ชัดเจน โดยผู้เขียนสร้างภาพลักษณ์ของคอนสแทนทินมาจาก Sting นักร้องอังกฤษชื่อดัง แต่รีฟส์นั้นผมดำ และเป็นหนุ่มอเมริกันจ๋า หนังใช้ทุนสร้างไป 100 ล้านเหรียญ แต่แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำเงินทั่วโลกไป 230 ล้านเหรียญ ยังไม่ใช่ตัวเลขที่น่าพอใจนัก แถมยังได้เสียงวิจารณ์ค่อนไปทางลบ ทางวอร์เนอร์เลยไม่คิดแผนการณ์ที่จะสร้างภาคต่อ จนกระทั่งชื่อของ คีอานู รีฟส์ กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง จนเป็นกระแส Keanussance บวกกับตัวหนังเองก็ค่อย ๆ สะสมชื่อเสียงในกลุ่มแฟน ๆ ที่ชื่นชอบในตัวหนัง Constantine จนทำให้วอร์เนอร์กลับมาพิจารณาแผนการณ์การสร้างภาคต่ออีกครั้ง ใน 17 ปีหลังจากภาคแรกออกฉาย และนี่คือ 4 คุณค่าใน Constantine ที่หนังสมควรมีภาคต่อเสียที

หนังเติมความเป็น นัวร์-ทริลเลอร์ ลงไปผสมในการ์ตูนต้นฉบับ

โลกของ Constantine เป็นโลกสมมติที่อยู่ในช่วงสงครามเย็นระหว่างอเวจีกับสวรรค์ โดยที่มีโลกมนุษย์อยู่ตรงกลาง โดยมีกฎเหล็กอยู่ว่า ปีศาจ และ เทพยดา ห้ามย่างกรายเข้ามาในดินแดนโลกมนุษย์ อนุญาตได้แค่เพียงพวก “ลูกครึ่ง” (Half-Breeds) เท่านั้น แล้วพวกลูกครึ่งเหล่านี้ล่ะ ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง บงการเหล่ามนุษย์ที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนให้ดำเนินการตามแผนการร้ายของฝ่ายตน ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนการร้ายของเหล่าปีศาจและเทพยดา โลกมนุษย์อาจลงเหยด้วยหายนะครั้งใหญ่ กับการเป็นพื้นที่ทำสงครามของทั้งสองฝ่าย มีเพียง จอห์น คอนสแทนทิน พระเอกของเราที่จะยับยั้งแผนการร้ายนี้ได้

แม้ว่าหน้าหนังจะมาในแนวซูเปอร์ฮีโรผู้มีพลังอำนาจทางเวทมนตร์เป็นอาวุธ แต่หนังก็ดำเนินเรื่องในแนวลึกลับสืบสวน และสามารถมองเห็นเหล่าภูติผีและเทพยดา สามารถติดต่อสื่อสารกับเหล่าลูกครึ่งได้อีกด้วย ในเรื่องนี้คอนสแทนทินได้รับการขอร้องจาก แองเจลา ดอดสัน บทของ ราเชล ไวสซ์ (Rachel Weisz) ให้สืบสวนหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของ อิซาเบล น้องสาวฝาแฝดของเธอ ที่กระโดดตึกฆ่าตัวตายจากดาดฟ้าของสถาบันจิตเวช เพราะเธอไม่เชื่อว่าน้องสาวของเธอฆ่าตัวตาย เมื่อคอนสแทนทินสืบลึกลงไปก็พบว่าเบื้องหลังการตายของอิซาเบลนั้นพัวพันกับแผนการร้ายของปีศาจและเทพยดา

หนังยาว 2 ชั่วโมง แต่ก็เดินหน้าไปแบบช้า ๆ ค่อยเผยเงื่อนงำแต่ละอย่างออกมา ซึ่งแตกต่างจากการ์ตูนต้นฉบับซึ่งตรงนี้ล่ะที่ไม่ค่อยถูกใจแฟน ๆ การ์ตูน Hellblazer แต่หนังก็สร้างแบบฉบับเฉพาะของตัวเองในเวอร์ชันภาพยนตร์ขึ้นมา ด้วยการสอดแทรกเรื่องราวของศาสนาเข้ามาเป็นประเด็นหลักในเรื่องราวของการสืบสวนที่เป็นแกนหลัก รวมไปถึงการสร้างภาพลักษณ์ของ แกเบรียล ทูตสวรรค์ขึ้นมาใหม่ เป็นเทพที่ไว้ตัว ห่างเหิน ดูเย็นชาและมีเลศนัย แต่ขณะเดียวกันก็คอยให้คำแนะนำกับคอนสแทนทินให้ไปเจอเบาะแสต่าง ๆ ส่วน ลูซิเฟอร์ ก็มาในภาพลักษณ์ใหม่ แม้จะเป็นซาตาน แต่ก็ไม่ได้มาปรากฏตัวในภาพลักษณ์ที่เราคุ้นตา ไม่มีเขาและไมได้ถือหอกสามง่าม แต่มาในชุดสูทสีขาวสะอาด แต่เท้าเปล่าแล้วมีน้ำมันดิบสีดำหยดจากปลายเท้า

ทีมนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมมาก

เป็นหนังที่มีนักแสดงสมทบเยอะมาก และแต่ละรายก็เป็นนักแสดงที่มากด้วยฝีมือ

  • เริ่มตั้งแต่ พรุตต์ เทย์เลอร์ วินซ์ (Pruitt Taylor Vince) นักแสดงสมทบตลอดกาล ที่คอหนังคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จาก Agents of S.H.I.E.L.D., The Devil’s Candy มาในบทบาทหลวงเฮนเนสซี่ นักบวชปราบผีขี้เมาและเป็นเพื่อนกับคอนสแทนทิน
  • ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf) ลูกศิษย์คนเดียวของคอนสแทนทิน และพ่วงหน้าที่สารถีส่วนตัวของคอนสแทนทินด้วย ลาบัฟแสดงเรื่องนี้ตอนยังไม่เป็นที่รู้จัก อีก 2 ปีจากนี้เขาถึงได้ไปรับบทนำเป็น แซม วิตวิคกี้ ใน Transformers (2007)
  • จิมอน ฮุนซู (Djimon Hounsou) นักแสดงผิวดำที่งานชุกตลอดกาล รับบทเป็น มิดไนต์ อดีตหมอผีที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการไนต์คลับลึกลับ ที่ให้บริการทั้งลูกครึ่งปีศาจและลูกครึ่งเทวดา
  • ธิลดา สวินทัน (Tilda Swinton) รับบททูตสวรรค์ แกเบรียล ที่ไม่บ่งบอกเพศสภาพที่แน่ชัด และดูมีอาการทางจิตเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณ์ บท ‘แกเบรียล’ นี้ แม้จะไม่ได้สร้างชื่อเสียงให้สวินทันแต่ก็นับเป็นบทบาทที่โดดเด่นน่าจดจำของเธอ ก่อนจะไปสร้างชื่อจาก Snowpiercer (2013) และ บท เอเชียนท์ วัน ใน Doctor Strange (2016)
  • ปีเตอร์ สทอร์แมร์ (Peter Stormare) เห็นหน้าก็คุ้นเลยกับนักแสดงผู้เหมาบทตัวร้ายตลอดกาล หลายคนอาจจะคุ้นหน้าเขามาแล้วจาก Armageddon (1998) แล้วการตีความ ลูซิเฟอร์ ใหม่ในภาพลักษณ์ของเขา ก็ทำให้ลูซิเฟอร์ในเวอร์ชันนี้ดูมีความน่ากลัวแฝงอยู่ลึก ๆ พอ ๆ กับความโรคจิตที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกได้

Constantine เปรียบเสมือนเป็นต้นแบบ John Wick ให้กับ คีอานู รีฟส์

John WIck คือหนังที่ทำให้ คีอานู รีฟส์ กลับมาเป็นพระเอกแถวหน้าของฮอลลีวูดได้อีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นกระแส Keanussance แต่ถ้าเราพิจารณาไปถึงฉากหลังของ จอห์น วิก เขาก็คือนักฆ่าระดับพระกาฬ ที่เกษียณมาใช้ชีวิตสงบสุข แต่ก็ต้องกลับมาจับปืนเพื่อแก้แค้นให้กับหมาสุดรักของเขา แฟน ๆ ของ คีอานู รีฟส์ อาจจะคุ้นเคยกับมาดพระเอกที่มาในลุคหยาบกร้านแบบนี้มาแล้วจาก Constantine

จอห์น คอนสแทนทิน เป็นนักดื่มคอทองแดง สูบบุหรี่แบบมวนต่อมวน เขาคร่ำหวอดในวงการปราบผีมาอย่างยาวนานจนชื่อเสียงของกระฉ่อนไปทั่วทั้งอเวจีและสรวงสวรรค์ เป็นชื่อที่ทั้งปีศาจและเทวดาต่างก็เกลียดและยำเกรง รีฟส์ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของ จอห์น คอนสแทนทิน ออกมาเป็นพระเอกวายร้าย (Anti-Hero) ในยุคแรก ๆ เขาชอบบ่นพึมพำ วางท่าด้วยความหยิ่งผยอง ทั้งที่ตัวเองก็กำลังจะใกล้ตายเพราะมะเร็งปอด แล้วก็ไออยู่ตลอดเวลาแต่ก็ยังไม่หยุดสูบบุหรี่ ด้วยความที่ทำหน้าที่หมอผีอิสระมาอย่างยาวนาน เห็นปีศาจมาแทบทุกรูปแบบ เขาจึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับปีศาจหรือเทพที่เขามองเห็น เพราะสิ่งที่เขาเผชิญก็เหมือนงานประจำที่เขาทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

อีกจุดหนึ่งที่คอนสแทนทินและ จอห์น วิค มีความละม้ายกันก็คือ เหตุผลในการทำงานที่ดูจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่เล็กน้อย จอห์น วิค นั้นสังหารศัตรูเพราะแก้แค้นให้หมา ส่วนคอนสแทนทินนั้นกำราบปีศาจและเทพนอกคอกเพื่อสะสมแต้มบุญเพื่อให้วิญญาณเขาได้ไปสวรรค์ในวันที่เขาตาย แล้วที่สำคัญทั้งคู่นี้ฝีมือร้ายกาจพอ ๆ กัน

สร้างสรรค์ภาพของนรกอเวจีออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

สำหรับคอหนังน่าจะเคยดูหนังที่พาเราไปเยือนนรกมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถ่ายทอดนรกอเวจีออกมาเป็นโลกมืดที่ว่างเปล่า หรือไม่ก็ไฟโลกันตร์ลุกท่วม แต่สำหรับผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ นั้น เขามีนรกในจินตนาการเฉพาะตัว เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาอยากให้ได้ภาพนรกออกมาเหมือนจักรวาลคู่ขนานในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งเหมือนโลกมนุษย์เราทุกอย่าง มีตึกรามบ้านช่องและถนนเหมือนโลกมนุษย์ อย่างนรกในหนัง Constantine นั้นก็เป็นภาพจำลองของเมือง ลอสแองเจลิส แต่ออกมาในสภาพที่เหมือนเพิ่งโดนนิวเคลียร์ถล่มมา แต่อาคารต่าง ๆ ไม่โดนทำลายซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนังทดลองระเบิดนิวเคลียร์ในยุค 1940 เขาก็เลยนำมาเป็นต้นแบบ

ส่วนไอเดียเรื่องปีศาจต่าง ๆ ซึ่งมีมากมายในหนังน้้น ผู้กำกับลอว์เรนซ์อยากได้ภาพลักษณ์ที่ดูคล้าย ๆ ซอมบี้ แต่ไม่มีสมอง เพราะลอว์เรนซ์ต้องการให้ปีศาจของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร หลังจากผ่านงานกำกับ Constantine แล้ว ลอว์เรนซ์ก็ได้ไปกำกับ I Am Legend เพราะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยอสุรกายที่มีภาพลักษณ์คล้ายซอมบี้เช่นกัน

สุดท้ายแล้ว Constantine ก็ไม่ใช่หนังที่เป็นที่จดจำในฐานะหนังที่ดัดแปลงมาจากคอมิกได้ประทับใจแฟน ๆ นัก แต่หนังก็มีความกล้าที่จะนำเสนอในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ในการเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวการผจญภัยของ จอห์น คอนสแทนทิน หมอผีอิสระมากกว่าเรื่องราวสยองขวัญตามรูปแบบคอมิกต้นฉบับ

ที่มา ที่มา ที่มา