Release Date
06/10/2022
Runtime
134 MInutes
Genre
Comedy
Director
David O. Russell
Cast
Christian Bale Margot Robbie John David Washington Robert De Niro Anya Taylor-Joy Michael Shannon Mike Myers Taylor Swift Zoe Saldana Rami Malek
Our score
7.4[รีวิว] Amsterdam – ฆาตกรรมอลเวงที่เจ๋งตรงบทสนทนาและการแสดง
จุดเด่น
- นำเรื่องราวในประวัติศาสตร์มายำกับเรื่องแต่งที่มีทั้งความบ้า บอ คอแตกและปริศนาชวนสืบสวนได้กลมกล่อม
- ทีมนักแสดงคือจุดเด่นของหนังจริง ๆ
- งานถ่ายภาพโดยเอ็มมานูเอล บูเลซกี้ ทำให้งานภาพของหนังน่าจดจำมาก
จุดสังเกต
- การจัดการตัวละครสมทบของ โซอี้ ซัลดานา ยังไม่ดีนักทั้งที่สามารถให้เวลากับตอนจบของหนังได้มากกว่านี้
- ตัวละครของคริส ร็อค ยังไม่จำเป็นกับเรื่องราวนัก เลยอาจดูเป็นส่วนเกินไปหน่อย
- หนังเดินเรื่องด้วยบทสนทนาและตัวละครไม่ปกติ หากจูนกับหนังไม่ติด อาจไม่รู้สึกสนุกก็เป็นได้
-
การแสดง
8.0
-
โปรดักชัน
8.0
-
บทภาพยนตร์
7.0
-
ความบันเทิง
7.0
-
ความคุ้มค่าในการชม
7.0
ทิ้งห่างจากหนังเรื่องก่อนอย่าง ‘Joy’ มาถึง 7 ปีสำหรับ เดวิด โอ รัสเซลล์ (David O. Russell) ผู้กำกับที่ถนัดเหลือเกินกับการทำหนังโรแมนติกที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ ความพลิกผันของโชคชะตาที่เล่นงานตัวละครซึ่งส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยมีใครปกตินักในหนังของเขาและ ‘Amsterdam’ ผลงานล่าสุดของรัสเซลล์ที่ได้นักแสดงสุดฮอตทั้ง คริสเตียน เบล (Christian Bale), มาร์โกต์ ร็อบบี้ (Margot Robbie) และ จอห์น เดวิด วอชิงตัน (John David Washington) มาร่วมบอกเล่าเรื่องราวฆาตกรรมชวนหัวระดับ Go-So-Big (ไปกันใหญ่)
เรื่องราวของหนังจะเริ่มต้นในยุค 30s ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มก่อตั้ง เบิร์ต เบอเรนเซน (รับบทโดย คริสเตียน เบล) อดีตทหารผ่านศึกได้กลับมายังนิวยอร์กเพื่อเปิดคลินิกรักษาเพื่อนร่วมรบ และเป็น ฮาโรลด์ (รับบทโดย จอห์น เดวิด วอชิงตัน) ที่ชักชวนเขาให้ไปชันสูตรศพของอดีตผู้บังคับบัญชา แต่ความจริงที่พวกเขาค้นพบกำลังจะนำไปสู่แผนการชั่วร้ายที่อาจทำให้อเมริกาต้องอยู่ภายใต้เผด็จการ โดยกุญแจสำคัญของพวกเขาคือ วาเลอรี (รับบทโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้) สหายสาวสวยรักอิสระที่พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่ลืมไม่ลงกับเธอที่อัมสเตอร์ดัม
ใครที่ติดตามงานกำกับและเขียนบทของรัสเซลล์คงทราบดีว่า ในประวัติงานของเขามีทั้งงานที่ได้รับการยกย่องมากมายทั้ง ‘The Fighter’ ที่เคยส่ง คริสเตียน เบล ครองออสการ์สาขาสมทบชายมาแล้ว หรือจะเป็น ‘Silver Lining Playbook’ ที่ทำให้ เจนลอว์ หรือ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ครองออสการ์นำหญิงและอัปสถานะเป็นดาราเกรดเอ แต่ในขณะเดียวกันก็มีงานแป้ก ๆ อย่าง ‘Joy’ และ ‘Accidental Love’ เป็นรอยด่างในชีวิต
แต่หากถามว่า ‘Amsterdam’ อยู่ในงานฝั่งไหนก็ต้องบอกว่าถือเป็นงานคืนฟอร์มของรัสเซลล์แน่ ๆ โดยเฉพาะความชำนาญในการจัดการเฉลี่ยบทให้ตัวละครมหาศาลที่มาพัวพันอีรุงตุงนังให้คนดูค่อย ๆ ซึมซับ จำได้ และให้หนังพาไปสู่เป้าหมายของมันได้อย่างสวยงาม
แม้จะต้องมีแปะป้ายเตือนไว้หน่อยสำหรับใครที่ไม่คุ้นชินกับงานของรัสเซลล์สักนิดว่าบางทีหนังก็เต็มไปด้วยตัวละครประหลาด ๆ ไร้เหตุผลที่อาจทำให้ผู้ชมบางส่วนผละหนีไปบ้างแต่เชื่อเถอะว่าเมื่อต่อกับหนังติด ‘Amsterdam’ จะกลายเป็นหนังคอมเมดี้ที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เป็นฉากหลังที่สนุกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลย
และก่อนจะไปพูดถึงเหล่านักแสดงที่ขนระดับเกรดเอกันมาครึ่งค่อนฮอลลีวูด ขอแวะมาหวีดถึงผู้กำกับภาพอย่าง เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้ (Emmanuel Lubezki) ตากล้องที่ทำแฮตทริกซิวออสการ์สาขาถ่ายภาพมา 3 ปีซ้อนกันก่อน โดยลูเบซกี้ได้ดีไซน์งานภาพรับใช้การเล่าเรื่องได้อย่างลงตัวตั้งแต่โทนน้ำตาลเพื่อบ่งบอกยุคสมัยเหมือนเราได้กลับไปพลิกหนังสือพิมพ์อ่านข่าวอีกครั้งไปจนถึงการจัดแสงที่สอดรับกับโทนผิวนักแสดงได้อย่างละเอียดวิจิตรบรรจงจนทำให้งานภาพของ ‘Amsterdam’ น่าจดจำได้แม้มันจะไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ก็ตาม
สำหรับทัพนักแสดง แน่นอนว่า 3 นักแสดงนำเอาหนังอยู่ทุกคนตั้งแต่ คริสเตียน เบล ที่ไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดงอะไรอีกแล้ว มาร์โกต์ ร็อบบี้ และ จอห์น เดวิด วอชิงตัน ก็นำความโรแมนติกมาทำให้หนังมีมิติที่น่าติดตามมากขึ้นได้ดี หรือกระทั่งนักแสดงรับเชิญอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) นักร้องดังที่แม้จะโผล่มาไม่กี่ฉากแต่ก็ทำให้คนดูจำได้ทั้งการแสดงบทคอมเมดี้หน้าตาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งซีนสั่งลาบทของเธอก็ยังทำให้คนดูสะเทือนใจไม่น้อยเลย (แต่รายละเอียดเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น ไปดูเองนะครับ ฮ่าา)
ส่วนนักแสดงสมทบของหนังก็เรียกได้ว่าขนเอาซูเปอร์สตาร์ทั้งรุ่นใหญ่อย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ที่แม้บทจะสมทบแต่ก็ไม่ยอมให้อะไรมากลบเสน่ห์ได้ ไมค์ ไมเยอร์ส (Mike Myers) และไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon) ก็มาสวมบทสายลับที่ไม่ยอมหลุดปากได้ชวนอมยิ้มมาก ๆ หรือจะเป็นรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างเรมี่ มาเลค (Rami Malek) และ อันยา เทย์เลอร์ จอย (Anya Taylor-Joy) ที่ฉายแสงสู้รุ่นใหญ่ ๆ ได้สบายเลย โดยเฉพาะรายของน้องจอยนี่แหละที่บทของเธอจะมีช่วงที่ชวนหมั่นเขี้ยวและน่าตีมาก ๆ (เป็นซีนอะไรไปดูเอาเองเช่นกันครับ อือิ)
แต่กระนั้นก็ยังแอบเสียดายตัวละครของ โซอี้ ซัลดานา (Zoe Saldana) ไม่น้อยเพราะแม้จะถูกวางไว้เป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิตของ เบอเรนเซน พระเอกของเรื่อง แต่นอกจากความสวยของแม่สาวชาวนาวีจาก ‘Avatar’ ที่ออกมาตกคนดู 2 ฉากถ้วนแล้ว หนังก็ดูใจร้ายไปหน่อยที่ไม่ได้ทำให้ตัวละครของเธอมีฉากจบที่สวยงามก่อนปิดม่านเรื่องราวอันแสนอลเวงครั้งนี้ ส่วน คริส ร็อก (Chris Rock) บอกตามตรงว่ามองไม่เห็นความจำเป็นในการมีตัวละครของเขาสักเท่าไหร่ทั้งในแง่การเล่าเรื่องหรือสีสันของหนัง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส