Kubo and the Two Strings เป็นผลงานสร้างสรรค์ลำดับที่สี่ แห่ง Laika studios สตูดิโอนี้ทำหลายคนเป็นแฟนพันธุ์แท้มาแล้ว จากหนังขวัญใจมหาชนอย่าง Coraline (2009) ParaNorman (2012) และ The Boxtrolls (2014) เรียกว่าสร้างงานที่มีเอกลักษณ์สไตล์สต๊อปโมชั่นที่น่าจดจำมากๆ ยิ่งโดยเฉพาะในยุคหลังๆที่แบบว่าหนังอนิเมชั่นสามมิติครองพิภพจบสากล และการจากไปของ เรย์ แฮร์รี่เฮาเซน เจ้าพ่อสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ในปี 2013 ที่เคยใช้เทคนิคสต็อปโมชั่นในหนังฮอลลีวู้ดสมัยก่อนหลายเรื่องอย่าง Jason and the Argonauts (1963) ก็เหมือนเป็นระฆังบอกการเสื่อมความนิยมของเทคนิคยุคเก่าด้วย
ด้วยความที่ต้องใช้ช่างฝีมือจำนวนมาก วัตถุดิบการปั้นหุ่นและโรงถ่ายขนาดใหญ่ ตลอดจนระยะเวลาการถ่ายทำแบบอักโข ไม่ต้องสืบเลยว่าทำไมหนังฮอลลีวู้ดถึงหันไปใช้บริการคอมพิวเตอร์แทนเป็นทิวแถว และปล่อยให้งานสต็อปโมชั่นเป็นทางเลือกของหนังที่ต้องการสื่อความเป็นศิลปะสูง และความบ้าพลังของศิลปินขั้นสุดยอดเท่านั้น
และสตูดิโอไลก้านี่เอง ที่เป็นอีกทีมที่หลงเสน่ห์แห่งการควบคุมเสี้ยววินาทีนี้ หลังจากเป็นสตูดิโอที่เคยร่วมงานกับเจ้าพ่อแห่งสต็อปโมชั่นคนหนึ่งในยุคปัจจุบันอย่าง ทิม เบอร์ตัน ไลก้าก็เริ่มลงทุนสร้างหนังอย่าง โครอลไลน์ ออกมา ซึ่งด้วยความบ้าพลังมันเลยเป็นหนังสต็อปโมชั่นที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา ด้วยความยาว 100 นาที และได้ผลตอบรับที่ค่อนข้างบวกๆด้วย
หลังจากโปรเจคโครอลไลน์ที่สร้างมาจากนิยายแล้ว ไลก้าก็เริ่มมองหางานที่เป็นออริจินัลของตนเอง ในทางหนึ่งก็พัฒนาหนังอย่าง พารานอร์แมน และเดอะบ็อกซ์โทรลส์ ออกมาให้แฟนๆไม่หลงลืม แต่อีกทางก็เตรียมการสำหรับผลงานที่ทะเยอทะยานที่สุดของค่ายเรื่องนี้
ถ้าคุณคิดว่า โครอลไลน์ บ้าพลังแล้ว หนังเรื่องนี้คือซูเปอร์ไซย่าร่างสองร่างสามของความบ้าพลังนั้นเข้าไปอีก ด้วยการลงมาคุมงานเองของ CEO ของไลก้าอย่าง Travis Knight จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าขนาดให้คนอื่นทำ งานยังออกมาบ้าขนาดนั้น ถ้าผู้บริหารทำเองยิ่งไม่มีอั้นไม่มีกั๊กเข้าไปใหญ่ ซึ่งพี่แกจัดเต็มจริงเพราะคูโบ้ฯกลายเป็นหนังสต็อปโมชั่นที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ เอาชนะผลงานเดิมของค่ายไปด้วยความยาว 101 นาที ด้วยระยะเวลาการสร้างนาน 5 ปี เฉลี่ยแล้วเวลา 4.3 วินาทีที่เราได้ชมบนจอหนัง จะต้องใช้เวลาสร้างและถ่ายทำนานราวๆหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว
และด้วยความละเอียดละออในการสรรค์สร้างอารมณ์ของตัวคูโบ้ให้สมจริงที่สุด ทีมสร้างได้ปั้นใบหน้าของคูโบ้ไว้ใช้ถ่ายถึง 48 ล้านแบบ และมีใบหน้าตัวต้นแบบถึง 23,187 แบบทีเดียว ต้องขอบคุณเทคโนโลยีพิมพ์สามมิติที่เข้ามาร่นเวลาการปั้นลงได้มาก เพราะนี่เฉพาะแค่ตัวเอกตัวเดียวนะครับ ยังไม่นับหุ่นโครงกระดูกยักษ์ความสูงเกือบ 5 เมตรที่กลายเป็นหุ่นสต็อปโมชั่นที่ใหญ่สุดที่มีการสร้างด้วย กับฉากท้องทะเลแปรปรวนที่พี่แกเสกสรรค์ขึ้นมาอีก โห อยากกราบเลย บอกตรงๆดูไปผมไม่เชื่อเลยนะว่าพวกนี้มันคือสต็อปโมชั่น อย่างกับหนังคอมพิวเตอร์กราฟฟิกสามมิติชัดๆ ผ้าพริ้ว กระดาษปลิวงี้ ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าเกิดจากการที่คนปั้นแล้วขยับมันทีละนิด ทีละนิด จนเคลื่อนไหวได้
ไม่แปลกเลยที่แม้เรายังไม่ต้องดูหนัง ดูแค่เบื้องหลังงานสร้างกับสถิติสุดพีคพวกนี้ เราก็พร้อมกราบทีมสร้างได้แล้วล่ะครับ
ส่วนตัวหนังพอได้ดูก็ต้องประหลาดใจแบบสุดๆ เหมือนกันครับ คูโบ้ฯ เป็นหนังที่มีความตะวันออกในทุกกระเบียดนิ้วทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ตะวันออกแบบที่เราชินนะครับ เป็นตะวันออกแบบที่ตะวันตกมองมากกว่า ทั้งใบหน้าตัวละครที่ตามท้องเรื่องอิงว่าอยู่ในประเทศญี่ปุ่นแต่ใบหน้าออกจะไปทางจีนมากกว่า (นึกอารมณ์เดียวกับเวลาเรามองฝรั่งชาติไหนๆก็หน้าเหมือนอเมริกันไปหมดล่ะนะ) องค์ประกอบศิลป์ต่างๆในเรื่องก็เป็นญี่ปุ่นชัดเจนมากทั้งฉากป่าไผ่ สุสาน หมู่บ้าน ปราสาท ตัวละครฝั่งพระเอกอย่าง ลิงที่ชวนนึกถึงโมโมทาโร่ ซามูไรด้วง หรือแม่ของคูโบ้ในชุดกิโมโนเป็นต้น กลับกันในทางฝั่งตัวร้ายกับชวนให้เรานึกถึงจีนแบบจีนจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ตาแก่หนวดยาวในชุดแบบขุนนางจีนของราชาพระจันทร์ ตัวละครปีศาจร้ายสองพี่น้องในชุดคล้ายจอมยุทธสีดำสวมหน้ากากที่คอยไล่ล่าพระเอก ในขณะที่ปีศาจรายทางอย่างโครงกระดูกยักษ์ก็เอามาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นอย่างปีศาจที่ชื่อกาซาโดคุโระ เป็นต้นด้วย คือใครหลงใหลบรรยากาศสวยๆแบบตะวันออกนี่พริ้มเลยครับ สวยจริงๆ ถึงหน้าจะตี๋ๆหมวยๆไปซะหมดก็เถอะ
ประหลาดใจเข้าไปอีกจากที่ดูตัวอย่างก็คิดไว้ว่า ไลน์เรื่องไม่มีอะไรมากไปกว่าเด็กน้อยที่มีพลังพิเศษต้องเดินทางไปกับสหายแปลกประหลาดเพื่อปราบปีศาจร้าย ก็สไตล์นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่เราคุ้นๆกันดี แต่พอดูเข้าจริงต้องบอกว่าหนังพูดในประเด็นที่อภิปรัชญาพอสมควรเลยครับ กับคำถามเช่นว่า ความตายถือเป็นสิ้นสุดหรือไม่ สิ่งที่ผู้จากไปจะเหลือทิ้งไว้คืออะไร ความไม่มีอารมณ์และเป็นนิรันดร์ (สภาวะแห่งเทพ) คือทางแห่งความสุขจริงหรือ ราวกับว่าทีมงานกำลังพูดถึงตัวเองและเหล่าบุคลากรแห่งวงการสต็อปโมชั่นว่า สิ่งที่พวกเขาทุ่มเทสร้างขึ้นไว้แก่โลกนี้จะสูญสลายเปล่าประโยชน์ไหมเมื่อเวลาผ่านไป คนอย่าง เรย์ แฮร์รี่เฮาเซน จะถูกหลงลืมไหมเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผันไป มันเหมือนว่าการสร้างหนังเรื่องนี้เป็นการบำเพ็ญพรตของเหล่าอนิเมเตอร์เลยล่ะครับ อยากบอกว่าพวกพี่น่าจะเป็นเซียนแล้วล่ะจากหนังเรื่องนี้
น่าเสียดายนิดเดียวว่าคำถามและแนวคิดอภิปรัชญาพวกนี้ ยังไม่กลืนเป็นเนื้อเนียนเดียวกันกับการเดินเรื่องของคูโบ้ คือบางจังหวะเด่นชัดมากว่าเป็นการยัดปากตัวละครพูด มากไปกว่าจะให้ผู้ชมซึมซับเข้าใจด้วยเหตุการณ์ของตัวเรื่องจริงๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้สัญญะหลายอย่างที่สื่อความหมายนามธรรมด้วย อย่างรอยแผลที่ตาในหลายๆตัวละคร และสายพิณที่เป็นที่มาของชื่อหนังด้วย เป็นต้น เลยคิดว่าหนังน่าจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า แต่น้องๆเด็กๆก็คงสนุกไปกับเรื่องราวการผจญภัยได้ล่ะครับแต่อาจเก็บสาระไม่ได้ครบเท่าคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า
ไม่แปลกใจเลยที่ดาราเบอร์ใหญ่หลายคนสมัครใจเข้ามาให้เสียงตัวละครทั้ง Charlize Theron ในบทเจ๊จ๋อ Ralph Fiennes ในบทราชาพระจันทร์ Matthew McConaughey ในบทซามูไรด้วง และ Rooney Mara ในบทปีศาจสองพี่น้อง ด้านคูโบ้ก็ได้นักแสดงรุ่นเยาว์อย่าง Art Parkinson หรือเจ้าหนูริกค่อนแห่งตระกูลสตาร์ก จากเรื่องเกมออฟโธรนส์ มาพากย์ด้วย เลยยิ่งไม่แปลกใจที่สื่อนอกฟันธงกันแล้วว่านี่คือตัวเต็งชิงออสการ์ปีหน้าอย่างแน่นอนแล้วครับ
สรุป
หนังเทพมากๆครับ สายอาร์ต สายอนิเมชั่นห้ามพลาดเลย ควรนั่งดูให้จบยังเครดิตเลยนะจะได้เห็นงานสร้างเล็กๆน้อยๆที่ยืนยันตอกย้ำว่าที่ดูมาสองชั่วโมงกว่านี่คืองานที่สร้างขึ้นจริง ปั้นจริง ถ่ายจริง ทุกชิ้น คารวะงามๆเลยครับ หนังเข้าฉาย 8 กันยายนนี้ แต่จะมีรอบพิเศษหลัง 2 ทุ่มฉายนำหน้ามาก่อนตั้งแต่วันที่ 1-7 กันยายนนี้ครับ ไปลองกันได้เลย