วันฉาย
17 / 11 / 2022
แนว
ระทึกขวัญ, ตลกร้าย
เวลา
106
ผู้กำกับ
Mark Mylod
เรตผู้ชม
18+
OUR SCORE
7.6
Our score
7.6[รีวิว] The Menu – คอร์สอาหารแห่งการชำระล้างบาปทั้งปวง
จุดเด่น
- พลังการแสดงของนักแสดงทุกคน ช่วยให้ตรึงหนังได้อยู่หมัด
- นำเสนอ Chef’s Table ออกมาเป็นเรื่องราวที่เรียงร้อยต่อกันได้อย่างดี
- หนังมีความบ้าบิ่นและไปสุดทางของมัน
- จุดหักมุมที่เด็ดดวงตลอดทาง
จุดสังเกต
- บทของหนังที่ค่อนข้างธรรมดาจนเกินไป
- หนังมีจุดที่ไม่เคลียร์อยู่หลายอย่าง ซึ่งจนจบก็ไม่ได้เฉลย และให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง
-
คุณภาพด้านการแสดง
9.0
-
คุณภาพโปรดักชัน
8.0
-
คุณภาพของบท
7.0
-
คุณภาพของความบันเทิง
7.0
-
ความคุ้มเวลาในการชม
7.0
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ภาพยนตร์กับอาหารนั้นมีองค์ประกอบคล้ายกัน เพราะมีทั้งเชฟ (ผู้กำกับ), ร้านอาหาร (สตูดิโอ), เหล่าคนครัว (ทีมงานในกระบวนการโปรดักชัน) และวัตถุดิบ ซึ่งอาหารจะออกมาดีหรือไม่ ก็อยู่ที่หัวเรือ ว่าจะพาแต่ละเมนูไปในทิศทางไหน นำเสนออย่างไร และเมื่ออาหารจานนั้นเสิร์ฟออกไป อาหารจะไม่ใช่ของเหล่าคนครัวอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นของผู้บริโภค (คนดู) ในทันทีที่อาหารเสิร์ฟถึง
The Menu เล่าเรื่องของคู่รักอย่าง มาร์โก กับ ไทเลอร์ ที่ได้จองตั๋วไปดินเนอร์ในร้านอาหารระดับ Fine Dining แห่งหนึ่ง โดยร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่คนไม่พลุกพล่าน อันเป็นการสร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวที่ดีให้แขกทั้งหมด
เมื่อนับรวมมาร์โก กับไทเลอร์แล้ว แขกที่มาดินเนอร์ในค่ำคืนนี้มีทั้งหมด 12 คน พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างความประหม่าให้กับไทเลอร์ทั้งสิ้น กลับกันมาร์โกนั้นรู้สึกว่าบนเกาะนี้มีบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ และเธอเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนกับความประหม่าของไทเลอร์ ขณะเดียวกัน จูเลียน สโลวิก เจ้าของร้านอาหารก็เดินเข้ามา และทำให้บรรยากาศของร้านมันดูตึงเครียดกว่าเดิม ในที่สุดอาหารมื้อพิเศษที่ผสานด้วยความเจ็บปวดก็ได้เริ่มขึ้น
บทที่บรรจงวางเรื่องราว เสมือนการเสิร์ฟคอร์สอาหาร
ในร้าน Fine Dining เนี่ย จะมีคอร์สการเสิร์ฟอาหารที่ถูกใช้อยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ ขนมปัง, อาหารเรียกน้ำย่อย, เมนูจานหลักและของหวาน ซึ่งในแต่ละคอร์สจะประกอบด้วยอะไรบ้างนั้น ก็แล้วแต่เชฟจะเลือกสรรเสิร์ฟให้คนทาน โดยทุกเมนูมักจะต้องเรียงร้อยต่อกัน และเข้ากันได้ดี เพื่อแสดงถึงความสามารถของเชฟ
The Menu ก็ได้ใช้จุดนี้มาช่วยลำดับเรื่องราวว่า เนื้อหาในหนังตอนนี้คืออะไร และค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง ให้เปลี่ยนไปตามคอร์สของอาหาร ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ชาญฉลาดมาก และเชื่อเลยว่า ถ้าใครชอบดูรายการทำอาหาร น่าจะดูเพลินเป็นพิเศษเลยล่ะ
เนื้อหาในหนังก็จงใจให้แขกทุกคนในร้าน มีปมปริศนาที่เรียงร้อยต่อกัน เช่นเดียวกับหนังแนว Mystery และการเดินเรื่องก็จะค่อย ๆ กะเทาะเปลือกของตัวละครว่าพวกเขาเป็นใคร ทำไมถึงมารวมอยู่ตรงนี้ และพวกเขาจะหาวิธีเอาตัวรอดออกจากที่นี่ได้ยังไง แม้จะแอบเล่นง่าย แต่หนังก็ดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ได้น่าจดจำ ทั้งในฝั่งของลูกค้าและคนครัวก็ด้วย เมื่ออยู่รวมกันก็ทำให้รู้สึกขนลุกเลยล่ะ
หลายรสชาติ หลากอารมณ์
อย่างที่กล่าวไปตอนต้น The Menu ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยยึดให้โทนของหนัง เป็นเสมือนอาหารคอร์สหนึ่ง นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ มีหลายรสชาติเอามาก ๆ คนดูจะได้รู้สึกเหมือนรถไฟเหาะของกราฟอารมณ์ มันจะผสมทั้งความโรแมนติก ปริศนา ตลกร้าย รวมไปถึงจุดหักมุมที่ค่อนข้างพลิกผลันและมีชั้นเชิงเอาเรื่อง แม้เนื้อหาจะดูเล่นง่ายไปหน่อย แต่จังหวะชั้นเชิงของผู้กำกับอย่าง มาร์ก ไมลอด (Mark Mylod) ก็ช่วยขับอารมณ์ของหนัง ให้สนุกไปอีกขั้น
เสียดสีวัฒนธรรมของผู้บริโภค
หนังมีจุดที่เล่าถึงคนทานอาหารและนักวิจารณ์ว่า พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาเป็นบ่อนทำลายอาชีพของพ่อครัวได้ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่แสบเอาเรื่อง เพราะพวกเขาตั้งใจเปรียบเปรยกับ ‘เหล่าคนดูและนักวิจารณ์หนัง’ ว่าพวกเขานั้นก็ชอบสับหนังหลายเรื่องให้เละไม่มีชิ้นดี จนวัฒนธรรมการดูหนังของคนดูนั้นเปลี่ยนไป ทำให้ผู้สร้างเริ่มสูญเสียตัวตน และไม่สนุกกับการทำอาหารอีกต่อไป ซึ่งเป็นซีนที่แสบเอาเรื่อง เชื่อเลยว่าต่อให้เป็นคนดูปกติที่ไม่ใช่นักวิจารณ์ ก็ต้องตบเข่าฉาดกับซีนเหล่านี้
แม้ว่าหนังจะมีลูกเล่นที่แพรวพราวอันแสดงถึงกึ๋นของผู้กำกับ แต่หนังก็ยังมีจุดที่ไม่เคลียร์อยู่หลายอย่าง ซึ่งผู้สร้างก็ตั้งใจทิ้งปมปริศนาไว้ให้เรามานั่งงมกันอีกทีว่า พวกเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่เชื่อเถอะว่าบางคนก็รู้สึกเหนื่อยกับทางเลือกที่หนังพาไป เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสนุกกับการต้องมานั่งวิเคราะห์ในสิ่งที่ไม่อธิบายไว้
และที่กล่าวมาทั้งหมด The Menu คงไปไม่สุด ถ้าไม่ได้พลังการแสดงของ เรล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes), แอนยา เทย์เลอร์-จอย (Anya Taylor-Joy) และ นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult) ที่มาช่วยเติมเต็ม และอุดช่องว่างอันธรรมดาของหนัง พวกเขาปล่อยของกันอย่างสุดพลัง จนทำให้เรารู้สึกสนุกกับการปะทะคารมของพวกเขา ซึ่งทั้งนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ช่วยให้หนังเรื่องนี้ไปต่อได้อย่างดี เรียกได้ว่าสิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากดูต่อจนจบเรื่อง ก็คือการแสดงนี่แหละ เพราะพวกพี่แกอัดอารมณ์ใส่กันอย่างบ้าพลัง ประหนึ่งดู Hell’s Kitchen ก็ไม่ปาน
โดยรวม The Menu เป็นหนังที่มีลูกเล่นสนุก ใช้พื้นที่จำกัดได้อย่างคุ้มค่า แม้จะเขียนบทเหมือนหนังแนวปริศนาที่มีบาดแผลเหวอะหวะ แต่ก็ทดแทนด้วยการนำเสนออันแสบสันด้วยวิชวลที่แปลกและมีลูกเล่น สำหรับใครที่จะลองดู แนะว่าให้ทำหัวให้โล่งสบาย ๆ เพราะอารมณ์ของหนังมันจะเหมือนรถไฟเหาะที่พาเราจนไปสุดทาง แม้มันจะไม่ใช่รสชาติที่กลมกล่อม แต่ก็เป็นรสชาติที่น่าลองทานดูสักครั้ง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส