[รีวิว] SAO Progressive : Scherzo of Deep Night – ฟาดฟันความหลัง ในดันเจี้ยนเกมมรณะ
Our score
7.2

วันฉาย

1 / 12 / 2565

แนว

ตลก, แอ็กชัน, แฟนตาซี

ความยาว

101 นาที

ผู้แต่ง

Reki Kawahara

เรตผู้ชม

ทั่วไป

OUR SCORE

7.2

[รีวิว] SAO Progressive : Scherzo of Deep Night – ฟาดฟันความหลัง ในดันเจี้ยนเกมมรณะ
Our score
7.2

[รีวิว] SAO Progressive : Scherzo of Deep Night – ฟาดฟันความหลัง ในดันเจี้ยนเกมมรณะ

จุดเด่น

  1. งานภาพ CG ตระการตา
  2. กระจายบทตัวละครได้ดี
  3. เพลงประกอบเพราะ ชวนให้ฮึกเหิมอยู่ตลอด
  4. ได้ดูบรรยากาศความสนุกแบบภาคแรกอีกครั้ง

จุดสังเกต

  1. ตัวละครขาด Motivation ในการดำเนินเรื่อง
  2. บทธรรมดาซะจนนึกว่าเป็นซีรีส์ปกติที่เอามาขยายเป็นตอนยาว
  • คุณภาพด้านเสียงพากย์

    7.3

  • คุณภาพโปรดักชัน

    7.5

  • คุณภาพของบท

    7.0

  • คุณภาพของความบันเทิง

    7.0

  • ความคุ้มเวลาในการชม

    7.0

Sword Art Online หรือ SAO เป็นแฟรนไชส์อนิเมะที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 2012 โดยได้ A-1 Picture สตูดิโอที่ผลิตอนิเมะชื่อดังมากมาย อาทิ Fairy Tail, Black Butler มาเป็นผู้สร้าง ซึ่งก็ได้ดัดแปลงเนื้อหาจากไลท์โนเวลในชื่อเดียวกัน และต่อมา SAO ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ชนิดว่าเมื่อพูดถึงอนิเมะ แนวพระเอกเก่ง, แนวตัวเอกติดอยู่ในเกม หรือแนวต่างโลก ก็มักจะมีชื่อของ SAO อยู่ในลิสต์ของแฟนคลับทุกครั้งไป 

โดย SAO เล่าเรื่องเกี่ยวกับเกมออนไลน์เสมือนจริงที่ชื่อ Sword Art Online ถูกสร้างขึ้นมาในปี 2022 และผู้เล่นที่จะเข้าเล่นได้ต้องสวมใส่อุปกรณ์ที่มีชื่อว่า เนิฟเกียร์ ซึ่งเป็นหมวกกันน็อกที่ทำให้ผู้ใช้รับรู้ถึงสัมผัสทั้งห้าของตนเองหรือง่าย ๆ ก็คือเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้เล่นเอาตัวเองเข้าไปในโลกเสมือนจริงได้นั่นแหละ แต่แล้ววันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ผู้เล่นกว่าหมื่นคน พบว่าตนเองไม่สามารถล็อกเอาต์ออกจากเกมได้ และวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาเป็นอิสระได้นั้นก็คือ การเอาชนะบอสที่อยู่ในหอคอย Aincrad ชั้นที่ 100

ทว่าการจะเอาชนะมันก็ไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อระบบได้บอกว่าหากผู้เล่นตายในเกม เนิฟเกียร์จะส่งกระแสไฟฟ้าไปทำลายสมอง ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นคนนั้นตายในชีวิตจริงด้วย และหากเนิฟเกียร์หลุดออกจากหัว ผู้เล่นก็ต้องตายด้วยเช่นกัน ดังนั้นเกมมรณะที่เดิมพันด้วยชีวิตจึงเริ่มขึ้น 

โดยปกติ SAO จะดำเนินเรื่องที่พระเอกอย่างคิริโตะเป็นหลัก แต่ใน Sword Art Online Progressive The Movie จะสลับการเล่าเรื่องเป็นในมุมมองของนางเอกอย่างอาสึนะแทน ซึ่งในภาค Progressive ก็จะพาเราย้อนกลับไปในตอนที่พวกเขา เข้ามาติดอยู่ในเกมนี้ใหม่ ๆ พร้อมกับเจาะลึกถึงอดีตบางอย่างที่ไม่เคยเล่าและหยิบความเปราะบางในจิตใจของอาสึนะมาแสดงให้ชัดเจนขึ้น

ภาค Scherzo นี้ถือเป็นภาคต่อของ Sword Art Online Progressive : Aria of a Starless Night ซึ่งดำเนินเนื้อเรื่องในช่วงที่กลุ่มของอาสึนะและคิริโตะขึ้นไปถึงหอคอย Aincrad ชั้นที่ 4 โดยภาคนี้จะไม่ได้เน้นเนื้อหาที่อาสึนะคนเดียวเหมือนภาค Aria แต่จะมีการเพิ่มมุมมองของคนอื่น ๆ รอบตัวอาสึนะเข้ามาด้วย รวมทั้งคิริโตะที่คราวนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น แถมยังสอดแทรกเรื่องราวบางส่วนที่ไม่ได้ถูกเล่าในภาคปกติเข้ามา ทำให้คนที่เคยดูภาคปกติมาแล้ว ก็สามารถดูภาคนี้ได้สนุกขึ้น

สำหรับการเดินเรื่องนั้น ด้วยความที่ภาคนี้อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนมาจากภาคแรก ทำให้หนังค่อนข้างเดาทางง่าย แม้จะมีการดำเนินเรื่องอย่างรวบรัด แต่ด้วยความที่เราทราบถึงสิ่งที่จะเกิดต่อไปของเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ทำให้หนังค่อนข้างขาด Motivation ต่อคนดูเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนที่ชอบจริง ๆ ก็คงเป็นฉากบอสไฟต์ความยาว 10 นาที ในช่วงท้ายเรื่อง ที่หนังค่อนข้างกระจายบทตัวละครได้ดี แถมลำดับฉากแอ็กชันได้มันสะใจเอามาก ๆ

ด้วยความที่ SAO Progressive : Scherzo of Deep Night เป็นภาคที่ 2 ของตระกูล Progressive ซึ่งอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนมาจากภาคหลัก ทำให้ในภาคนี้ไม่มีการย้อนความใด ๆ และดำเนินเรื่องไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าใครจะมาดู SAO เป็นครั้งแรก ขอแนะนำให้ดูภาค Aria of a Starless Night มาก่อนจะดีกว่า เพราะจะได้ซึมซับกับเนื้อหาที่หนังได้วางเอาไว้ และทำให้อินกับเรื่องราวบางส่วนได้มากขึ้น 

ด้านงานภาพของ SAO ก็ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานของ A-1 Picture ซึ่งผลิตออกมาได้อย่างสวยงามตั้งแต่สมัยก่อน แม้จะมีฉากที่เผาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกกวนตาแต่อย่างใด โดยภาคนี้ก็ยังอัดแน่นไปด้วย CG และฉากแอ็กชันสุดอลังการ ผสมผสานด้วยเพลงสกอร์ที่บิวต์กันให้ฮึกเหิม เรียกได้ว่าดูกันเพลิน ๆ จนจบเรื่องแบบไม่รู้ตัวเลย

โดยรวม Sword Art Online Progressive : Scherzo of Deep Night เป็นภาคต่อที่แฟน SAO ควรดูเพื่อไปรำลึกเรื่องราว และอินไปกับเนื้อหาที่ภาคหลักไม่ได้เล่า หนังสอบผ่านในแง่ของความสนุกที่สามารถดูได้เพลิน ๆ แม้จะมีจุดที่น่าเบื่อบ้าง แต่งานภาพกับสกอร์ก็ช่วยให้เราอินไปได้จนจบ ซึ่งหนังก็มีข้อสังเกตที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีจุดพีกเท่าที่ควร ทำให้พอเราดูจบก็เหมือนดูอนิเมะตอนนึงที่นำมาขยายเป็นหนัง ไม่ได้มีความน่าจดจำเท่าไหร่ 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส