มาร์ก รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) นักแสดงฮอลลีวูดวัย 55 ปี ที่หลายคนรู้จักเขาดีจากบทบาทของ บรู๊ซ แบนเนอร์ หรือ Hulk ซูเปอร์ฮีโรร่างยักษ์ตัวสีเขียวจากจักรวาลมาร์เวล รัฟฟาโลเข้าวงการแสดงมาตั้งแต่ปี 1989 เขาเป็นนักแสดงสายดราม่า เน้นหนังที่ได้โชว์ฝีมือการแสดงมากกว่าหนังแมสเอาใจตลาด แม้จะได้บทนำอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเสียที จนเขาเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล รับบทเป็น Hulk ยักษ์เขียวใน The Avengers (2012) ตั้งแต่นั้นละ เขาจึงได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ครับ มาร์ก รัฟฟาโล อาจจะต้องจบชีวิต หรือไม่ก็ต้องยุติอาชีพนักแสดงในปี 2000 เพราะเขาตรวจพบเนื้องอกในสมอง และวิธีที่เขาพบนั้นก็ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียเหลือเกิน
ในปี 2000 มาร์ก รัฟฟาโล กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “You Can Count on Me””ตอนที่ผมถ่ายทำหนังเรื่องนี้อยู่ มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมฝันประหลาดว่า ผมมีเนื้องอกในสมอง แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่เหมือนฝันปกติทั่วไปอย่างคืนก่อน ๆ พอดีผมได้รู้จักกับคุณหมอหลายคนที่มาร่วมเข้าฉากในโรงพยาบาล เช้านั้นผมก็ตรงไปแพทย์หญิงท่านหนึ่งทันที ผมบอกเธอว่า ‘ฟังก่อนนะครับ เมื่อคืนผมฝันร้ายมาก ๆ แต่คุณอาจจะคิดว่าผมบ้าไปแล้วก็ได้ คือผมฝันว่ามีเนื้องอกในสมอง แล้วผมอยากให้คุณหมอช่วยตรวจให้หน่อย คุณหมอก็ตอบผมมาว่า ‘มันฟังดูบ้าจริงแหละค่ะ แต่หมอก็ไม่อยากให้คุณอยู่แบบวิตกกังวลแบบนี้ต่อไป เพราะฉะนั้นหมอจะส่งคุณไปตรวจ MRI หรือไม่ก็ CAT scan พรุ่งนี้เลย’ “
ตัดภาพไปวันรุ่งขึ้น หลังรัฟฟาโลเข้าเครื่องตรวจไปได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง คุณหมอก็เดินมาหา เธอถือผลมาในมือด้วย
“เธอตรงมาหาผมด้วยใบหน้าซีดเผือดอย่างกับกระดาษ แล้วเธอก็บอกว่า ‘คุณมีก้อนเนื้ออยู่ด้านหลังหูซ้าย มันขนาดพอ ๆ กับลูกอล์ฟ ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรนะ คุณควรจะได้ตรวจ MRI อีกรอบก่อน’ คือตอนนั้นผมก็รู้ดีละ มันไม่ใช่เวลาสมควรที่ผมจะเอ่ยออกไปว่า ‘ผมรู้อยู่แล้วละ’ แต่ก็นะ”
ในที่สุด รัฟฟาโลก็ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็น เนื้องอกบนเส้นประสาทหู (acoustic neuroma) เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง เกิดขึ้นบริเวณระหว่างหูชั้นในกับสมอง รัฟฟาโลบอกว่าก่อนที่เขาจะมาเข้ารับการตรวจนั้น เขาไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เลย แต่ทีมแพทย์ก็แนะนำว่าทางที่ดีเขาควรเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน เพราะก้อนเนื้อนี้อยู่บนเส้นประสาทใบหน้าด้วย
ตอนนั้นรัฟฟาโลเกิดอาการวิตกกังวลอย่างหนัก เขากลัวว่าเนื้องอกนี้จะมีอันตรายถึงชีวิตเขา หรือไม่ก็ส่งผลกระทบต่ออาชีพการแสดงของเขา
“พอเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผม ผมก็เริ่มหันหน้าเข้าหาศาสนาเป็นที่พึ่ง ผมเริ่มสวดและวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ผมบอกกับท่านว่า ‘ได้โปรดอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของผม อย่าเพิ่งเอาชีวิตผมไป เพราะถ้าหน้าตาผมต้องเสียโฉม ผมจะไม่สามารถทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ และถ้าผมต้องตายไป แล้วใครจะเลี้ยงดูครอบครัวของผม”
แล้วตอนนั้นละ ที่รัฟฟาโลต่อรองกับพระเจ้าว่า ถ้าจะต้องเอาอะไรไป ก็เอา ‘การได้ยิน’ ของเขาไปแทน แต่รัฟฟาโลหารู้ไม่ว่า ‘อย่าได้ริต่อรองกับพระเจ้า’
หลังเข้ารับการผ่าตัดแล้ว หมอบอกกับรัฟฟาโลว่า เขาจะเกิดอาการอัมพาตชั่วคราว แต่อาการจะค่อย ๆ ทุเลาขึ้นในเดือนถัดไป แต่ข่าวร้ายก็คือ หูซ้ายของเขาจะสูญเสียการได้ยินโดยถาวร ถึงตรงนี้ละ ที่รัฟฟาโลเปรยกับนักข่าวว่า
“ระวังนะ อย่าได้ต่อรองกับพระผู้เป็นเจ้าเป็นอันขาด เพราะคุณจะต้องยึดติดกับมันตลอดไป”
หลังการผ่าตัดผ่านพ้นไป รัฟฟาโลก็เริ่มพบกับอาการแทรกซ้อนที่ตามมา เขาเริ่มเจอกับอาการชาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“ทุกเช้าผมตื่นขึ้นมา ผมจะรู้สึกตัวว่าป่วยหนักมาก แต่ผมก็ยังไม่ตายหรอกนะ ซึ่งมันก็ยังดีแหละ แต่บางวันที่ผมต้องทรมานกับอาการป่วยจนบางทีผมก็นึกผมน่าจะตาย ๆ ไปซะ”
แล้วในช่วงนี้ละ ที่รัฟฟาโลเพิ่งมารู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วกระบวนการผ่าตัดของเขานั้น ไม่ได้ผ่านไปราบรื่นอย่างที่เขาคิด
“พ่อมาบอกผมว่า ตอนผมอยู่บนเตียงผ่าตัด หัวใจผมหยุดเต้นไปช่วงสั้น ๆ “
แต่อย่างน้อยในความโชคร้ายที่เขาประสบ ก็ยังทำให้รัฟฟาโลได้รู้จักตัวเขาเองมากขึ้น
“ผมมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนของขวัญในชีวิตผมที่มาในรูปแบบแปลก ๆ เสียหน่อย แต่มันทำให้เป้าหมายในชีวิตผมเด่นชัดมากขึ้น ในเรื่องตัวผมกับอาชีพการแสดง คือที่ผ่านมา ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมรื่นรมย์นักกับอาชีพการแสดงอย่างที่ผมควรจะรู้สึก แต่พอถึงวันที่ผมจะต้องสูญเสียมันไป กลับทำให้ผู้เข้าใจถ่องแท้ว่าผมรักและหวงแหนมันขนาดไหน”
เมื่อมองย้อนกลับไป รัฟฟาโลได้จำกัดความกับช่วงเวลาที่เขาตรวจพบเนื้องอกนี้ว่า “เป็นเรื่องดีที่สุดที่เกิดขึ้นบนเรื่องเลวร้ายที่สุด”
“สุดท้ายผมก็รอดมาได้ แล้วมันทำให้ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และผมสามารถผ่านพ้นมันมาได้สำเร็จ”
ทุกวันนี้ มาร์ก รัฟฟาโล ยังคงสูญเสียการได้ยินในหูซ้าย