หลังจากห่างหายไปพักใหญ่ ภาพยนตร์ในโครงการ The Little Big Film ที่เป็นการนำหนังอินดี้ฟอร์มเล็กแววดีมาฉายก็ได้กลับมาจัดกันอีกครั้งภายใต้คอนเซ็ปต์ #heart ‘หนังเล็กหัวใจใหญ่’ ซึ่งทางสหมงคลฟิล์มได้นำเข้ามาฉายในบ้านเราตั้งแต่กลางเดือนนี้เป็นต้นไป โดยหนังที่ได้ประเดิมผ่านสายตาเรื่องแรกคือหนังของผู้กำกับ ฮิโรคาซึ โคริเอดะ ในชื่อ After The Storm (ชื่อไทย: ‘รักได้ไหม พ่อคนนี้’) หนึ่งในหนังของโครงการที่มีดีกรีได้รับเลือกฉายแถมยังเข้าชิงรางวัล Un Certain Regards Cannes Film Festival 2016 ที่ผ่านมาด้วย
เนื้อหาของ After The Storm เป็นเรื่องราว เรียวตะ (อาเบะ ฮิโรชิ ) อดีตนักเขียนหนุ่มใหญ่ที่ล้มเหลวในการใช้ชีวิตและดำรงชีพอยู่ในอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ ซอมซ่อ สถานะหย่าร้างกับภรรยา เคียวโกะ (มากิ โยโกะ) ขณะที่แม่ของเขาและพี่สาวก็เอือมระอาจนไม่อยากพูดด้วย เรียวตะ พยายามพิสูจน์ตัวเองกับอดีตภรรยาของเขา ด้วยการรับจ้างทำงานเป็นนักสืบเอกชน เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเลี้ยงดู ชินโง ลูกชายของเขา และการพยายามฟื้นความสัมพันธ์กับแม่สุดที่รักของเขาด้วยการพาลูกชายและอดีตภรรยากลับไปเยี่ยมในช่วงฤดูร้อน ทว่าขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่พายุไต้ฝุ่นพัดเข้าเมืองพอดี และนั่นทำให้ครอบครัวที่แตกสลายไปแล้วได้มีโอกาสกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
ด้วยยี่ห้อหนังของคุโรเอดะ นี่เป็นอีกครั้งที่เขาแสดงให้เห็นใน After The Storm ว่า พล็อตเรื่องที่เกี่ยวเนืองกับครอบครัวคืองานลายเซ็นต์ของเขาจริงๆ (Like Father, Like Son- 2013, Our Little Sister-2015) แม้ว่ามันจะถูกจัดไว้ในกลุ่มของหนังดรามา แต่สิ่งที่ After The Storm แสดงออกมานั้น มีแต่ความเรียบง่าย มันเป็นหนังที่มีทั้งความเป็นภาพยนตร์ที่พิถีพิถันในการเล่าเรื่องและปนเปื้อนกลิ่นอายของความรู้สึกเหมือนชมเรียลลิตี้ คือ ไม่คาดคั้น ไม่กระแทกกระทั้น ไม่จัดจ้าน ไม่ชี้นำกับความรู้สึกของตัวละครใดๆ ทั้งนั้น เรียกว่าให้คนดูใช้อคติตัวเองตัดสินเอง สิ่งที่น่าสนใจคือ ด้วยแนวทางของหนัง มันกลับยังรักษาความน่าสนใจในระดับตรึงอารมณ์ของคนดูได้ตลอดรอดฝั่ง ความรู้สึกเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นแบบเดียวกับ Nobody Knows (2004) ที่ไม่ต้องพยายามใส่เมสเซจอะไรมากมาย เล่าเหมือนไม่ได้เล่า หนังก็เดินไปแบบช้าๆ เนิบนาบ แต่ทุกครั้งที่เราย้อนกลับไปนึกถึงหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกสงสารเด็กๆ เหล่านั้นจับใจ
จุดแข็งของหนังคุโรเอดะ ที่เรามักเห็นกันบ่อยคือการใช้ความสดใสของตัวละครเด็กมาเป็นหัวใจสำคัญในการเล่าเรื่อง ผ่านบทสนทนาใสๆ ที่มักจะไปสะกิดปมบางอย่างของผู้ใหญ่ที่มีแคแร็คเตอร์สีเทาๆ ซึ่งมักเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังและต้องใช้ชีวิตชดใช้เหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นวิธีการออกแบบตัวละครที่หนังญี่ปุ่นหลายเรื่องชอบใช้มันสะท้อนสภาพปัญหาครอบครัวในสังคมญี่ปุ่น (เช่น Air Doll-2009) การใส่ symbolic เข้ามาช่วยในการสื่อสารเมสเซจของหนังไปยังคนดู และการใช้เหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ซับซ้อนในการพาหนังจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง อย่างใน After The Storm ก็ใช้สถานการณ์ของพายุไต้ฝุ่นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวเปลี่ยนไป ตลอดทั้งเรื่องจังหวะจะโคนของหนังช่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ไม่ใส่ความจงใจ ไม่ให้ความรู้สึกยัดเยียดใดๆ อาจมีเนือยบ้างบางช่วง แต่ด้วยองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น นักแสดงหลักที่เล่นออกมาเป็นธรรมชาติ (โดยเฉพาะ ฮิโรชิ อาเบะ ที่เล่นได้ดู ‘จน’ และ ‘หยาบ’ ได้ดีมาก ขณะที่ มากิ โยโกะ ก็ดูเป็นแม่ม้ายที่มีเสน่ห์จับใจยิ่ง) การแสดงที่เก็บรายละเอียดเยี่ยมและบทสนทนาของตัวละครที่สอดแทรกแนวคิดในการใช้ชีวิตนั้นทำได้ดี ไม่ขาดไม่เกิน ก็ทำให้กลบจุดนี้ไปได้สบายๆ
After The Storm เป็นหนังดรามาที่ไม้ได้มีจุดให้เราอึดอัด ไม่มีอะไรให้รู้สึกฟิน มันไม่ใช่หนังที่ผู้กำกับพยายามบดขยี้บีบน้ำตาคนดูเหมือนที่เราคาดว่าหนังดรามาญี่ปุ่นจะพาไป แต่เมื่อหนังจบจิตใจเราจะเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจแบบซึมลึก กับการเรียนรู้ชีวิตของครอบครัวหนึ่ง พร้อมหันกลับมาห่วงใยและมอบความรักให้กับคนรอบข้างของเราในวันที่ยังอยู่พร้อมหน้ากันตรงนี้
After The Storm เป็นหนึ่งในภาพยนตร์จากโปรเจ็กต์ The Little Big Film 11 #heart ‘หนังเล็กหัวใจใหญ่’ โดยจะเข้าฉายวันแรก 15 กันยายนนี้ ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ
ที่มาภาพ: japantimes