ปีหน้านี้ นิโคลาส เคจ (Nicolas Cage) ก็จะเข้าสู่วัยเลข 6 แล้ว เล่นหนังมาแทบทุกแนวแล้วก็ว่าได้ ตั้งแต่หนังทุนสูง จนถึงหนังเกรดบี คว้ารางวัลมาทุกเวทีทั้ง ลูกโลกทองคำ, ออสการ์ และ รางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ เคจก็ไปรับรางวัล Variety Legend & Groundbreaker Award จากงานเทศกาลภาพยนตร์ไมอามี่
หลังรับมอบรางวัล เคจก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ซึ่งในการพูดคุยครั้งนี้ เคจได้เปิดเผยประสบการณ์และทัศนคติมากมายต่อที่เขามีต่อวงการฮอลลีวูด ในฐานะที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการมากว่า 4 ทศวรรษ มีหลาย ๆ โปรเจกต์ใหญ่ที่เขาได้มีส่วนร่วม แต่ก็ประสบปัญหาไม่ได้สร้างก็มี เคยแม้กระทั่งเกือบได้เป็นซูเปอร์ฮีโรคนแรก ๆ ในวงการมาแล้วด้วย ก่อนที่จะถึงยุคหนังซูเปอร์ฮีโรครองตลาดอย่างเช่นทุกวันนี้
“ผมจะพูดถึงหนังมาร์เวลแต่ในด้านดีนะ เพราะอย่างน้อยชื่อผมก็ตั้งตามตัวละคร Luke Cage ของ สแตน ลี แล้วแบบนี้จะให้ผมทำไงได้ล่ะ ให้พูดถึงหนังมาร์เวลแบบเสีย ๆ หาย ๆ ได้เหรอ ? สแตน ลี นี่ก็เปรียบได้กับพ่อในจินตนาการของผมเลยนะ เพราะผมก็ถือว่าเขาตั้งชื่อผม”
จากนั้นนักข่าวก็ถามว่า เขามีทัศนคติอย่างไรต่อหนังซูเปอร์ฮีโรที่ครองตลาดในวันนี้
“ผมก็พอเข้าใจอยู่นะ ว่าทำไมหลายคนไม่ค่อยพอใจ ก็เข้าใจได้แหละ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันยังพื้นที่อีกมากมายเพียงพอสำหรับทุกคนนะ ตัวผมก็ดูหนังอย่าง ‘Tár’ ด้วย ผมดูงานศิลปะทุกรูปแบบ ดูหนังอินดี้ ผมก็ยังคิดว่ามันยังพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคน”
พอพูดคุยมาถึงตรงนี้ นักข่าวก็เลยยิงคำถามตรงว่า เขาสนใจที่จะเข้าร่วมจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลหรือไม่ ซึ่งเคจก็ตอบทันที
“ไม่ ผมไม่ต้องการไปอยู่ในหนังมาร์เวล เพราะผมคือ นิค เคจ”
แม้ว่านาทีนี้ เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในหนังมาร์เวล แต่ย้อนไปในยุค 90’s นั้น นิโคลาส เคจ เองก็เคยก้าวเท้าเข้าไปในหนังซูเปอร์ฮีโรมาแล้ว ด้วยการรับบทนำในหนัง ‘Superman Lives’ ที่วางตัว ทิม เบอร์ตัน ไว้ในตำแหน่งผู้กำกับ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด หนังถึงไม่ได้เดินหน้าสู่กระบวนการถ่ายทำ ซึ่งแม้แต่ตัวเคจเองก็ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
“ทีแรกเลยเขาอยากให้ เรนนี่ ฮาร์ลิน มากำกับ ซึ่งผมก็ได้พูดคุยกับเรนนี่ไปแล้วด้วย ตอนนั้นผมถ่ายหนังเรื่องอื่นอยู่ เขาก็มาหาผมที่เทรลเลอร์ เราได้พูดคุยกัน ซึ่งผมก็ชอบเรนนี่นะ แต่อีกใจนึงผมก็คิด ว่าถ้าผมรับเล่นหนังเรื่องนี้ มันจะต้องฮิตเท่านั้น ผมก็เลยบอกทางสตูดิโอไปว่า ผู้กำกับจะต้องเป็น ทิม เบอร์ตัน เท่านั้น ผมก็เลยโทรไปหาทิมเองเลย ถามเขาว่า “คุณจะกำกับเรื่องนี้ได้ไหม ?” ฟังนะ เรื่องนี้ทิมไม่ได้เลือกผม แต่ผมเป็นคนเลือกทิม แล้วทิมก็ตอบตกลง ผมชอบตอนที่เขากำกับ ไมเคิล คีตัน เป็นแบทแมน ผมน่ะแฟนตัวยงเลย”
“แล้วผมก็ชอบหนัง ‘Mars Attacks’ ด้วย ผมคิดว่ามันมหัศจรรย์มาก มันเป็นหนังที่ฉีกแนวสุด ๆ เขาคือผู้กำกับที่บุกเบิกแนวทางใหม่ ๆ เสมอ แต่ผลลัพธ์ของมันก็ทำให้สตูดิโอขยาดไปพักใหญ่ ก็เพราะวอร์เนอร์สูญเงินไปกับ ‘Mars Attacks’เสียเยอะ เพราะหนังมีประหลาดพอดู มันท้าทาย มันฉีกแนว แต่มันก็ทำให้ผู้บริหารไม่พอใจกันอย่างมาก ผมคิดว่าเพราะ ‘Mars Attacks’ ที่ทำให้พวกเขากลัวจนเข็ดกันไปเลยล่ะ เพราะตอนนั้นวอร์เนอร์ก็ควักทุนไปเยอะแล้วด้วย เขาสร้างฉาก ทำชุดเสร็จแล้วด้วย แต่แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ คุณไม่มีทางรู้หรอก ผมก็ไมได้ตั้งใจจะเก็บความลับอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่รู้ไง”
เคจยังคงสาธยายต่อถึงบทบาทซูเปอร์แมนที่เขาเกือบได้รับ
“มันเป็น Superman ในยุค 80’s ที่มาพร้อมกับผมดำยาว ผมคิดว่ามันเป็นภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากของเดิมอย่างมาก มาในแนวซูเปอร์แมนที่มีอารมณ์ท่วมท้น แต่เราก็ไปได้ไม่ถึงจุดนั้น”
ในฐานะที่เขาเป็นนักแสดงเจ้าบทบาท ผ่านการรับบทมาหลากหลายแนวแล้ว นักข่าวก็เลยถามเขาว่ามีหนังแนวไหนไหมที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษ
“หนังแนวโปรดของผมก็คือหนังดราม่าครอบครัว ผมชอบหนังประเภทที่ว่าเล่าเรื่องราวภายในบ้าน การพยามต่อสู้ด้วยกันภายในครอบครัว แล้วพวกเราก็พยายามไปด้วยกันเพื่อให้ประสบความสำเร็จ เราได้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นหรือ หรือต้องยอมจำนนต่อน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน อีกแนวหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือแนวสยองขวัญ ผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะมักจะเลือกทำหนังสยองขวัญกัน ผมคิดว่าเขาสามารถใส่อะไรลงไปในหนังได้มาก เหตุผลที่ผมให้ความสำคัญกับหนังไซไฟและหนังสยองขวัญมากเป็นพิเศษก็เพราะ ในหนังประเภทนี้ผมสามารถสื่อความเพ้อฝันที่เหนือจริงและเป็นนามธรรมออกมาผ่านการแสดงได้”
ในช่วงปี 2010 – 2011 นิโคลาส เคจ มีหนังคว่ำติดต่อกันหลายเรื่องเลย บวกกับปัญหาเรื่องหนี้สินส่วนตัว ทำให้เขาต้องหันไปเล่นหนังฟอร์มเล็กต่อเนื่องนานนับสิบปี จนกระทั่งผลงานการแสดงในเรื่อง Pig (2021) และ The Unbearable Weight of Massive Talent (2022) ทำให้ชื่อเสียงของเขากลับมาเป็นที่พูดถึง ส่งให้เขาได้กลับมายืนในตำแหน่งแถวหน้าของฮอลลีวูดได้อีกครั้ง กลายเป็นนักแสดงงานชุกเช่นเคย ในปี 2023 เคจจะมีผลงานให้เราได้รับชมกันถึง 3 เรื่อง ลากยาวไปถึงปี 2024 ที่มีหนังอยู่ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำอีก 3 เรื่อง