ในช่วงเดินสายโปรโมต Fast X วิน ดีเซล (Vin Diesel) ในฐานะนักแสดงและผู้อำนวยการสร้างได้เปรยกับนักข่าวไว้ว่า Fast X มหากาพย์ปิดตำนาน Fast อาจจะถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 ภาค จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าเป็น 2 ภาค แต่หลังจากที่หนังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว รายได้ในประเทศกลับไม่เปรี้ยงปร้างตามคาด และแผนการอาจจะไม่เป็นไปตามที่วางไว้
แต่ก็ยังดีที่รายได้ในต่างประเทศไปได้ดี ขณะนี้ทำไปได้ 530 ล้านเหรียญแล้ว ในขณะที่ตัวเลขบ็อกซ์ออฟฟิศในสหรัฐฯ นั้นทำไปได้แค่เพียง 129 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทุนสร้างและงบประมาณโฆษณาที่ยูนิเวอร์แซลควักกระเป๋าออกไปมากกว่า 350 ล้านเหรียญ
ไม่เพียงแค่นั้น รายได้ในสัปดาห์ที่ 2 ของ Fast X ยังลดฮวบฮาบถึง 67% จากสัปดาห์แรก ซึ่งคาดการณ์ได้เลยว่าตัวเลขรายได้ในประเทศไม่น่าจะแซง F9 ภาคก่อนหน้าที่ทำรายได้ในประเทศไป 173 ล้านเหรียญ และรายได้รวมทั่วโลกที่ 723 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่ F9 เข้าฉายในท่ามกลางสภาวการณ์ที่แย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นช่วงปลายของสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด โรงภาพยนตร์ยังไม่ได้เปิดให้บริการทั่วสหรัฐฯ
ด้วยตัวเลขรายได้ 129 ล้านเหรียญในสหรัฐฯ ของ Fast X นั้น ถือว่าเป็นรายได้ลำดับที่ 3 จากท้ายตาราง สูงกว่าแค่ 2 ภาคคือ 2 Fast 2 Furious (2003) – 127 ล้านเหรียญ และ The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006) – 62 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็น 2 ภาคที่ไม่มี วิน ดีเซล มารับบทนำ
จากนี้ไปสิ่งที่ยูนิเวอร์แซลพอจะคาดหวังได้ก็คือรายได้ก๊อกสองจากการวางจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีและช่องทางสตรีมมิง แต่ Fast X ได้ฝากไว้เรื่องเตือนใจไว้ให้กับยูนิเวอร์แซล เมื่อจะควักทุนสร้างครั้งต่อไปให้กับ Fast 11 หรือ Fast 12 (ถ้ามี) ว่าวันนี้แฟรนไชส์ Fast ไม่ได้เป็นหนังแม่เหล็กที่แข็งแกร่งที่สามารถเรียกผู้ชมได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
สิ่งที่แฟรนไชส์ Fast กำลังประสบอยู่ก็เป็นปัญหาเดียวกันกับจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ที่มักจะทำรายได้ดีในสุดสัปดาห์แรกเท่านั้น และจะตกลงอย่างฮวบฮาบในสัปดาห์ที่ 2 กรณีของ fast X เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า แม้หนังจะอัดแน่นไปด้วยนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดมากหน้าหลายตา แถมด้วยฉากแอ็กชันที่เวอร์วัง แล้วยังมีตอนจบที่สุดระทึกใจ ทิ้งค้างชะตากรรมของบรรดาตัวละครชวนให้ติดตามความเป็นไปในภาคต่อไป แต่ปัญหาใหญ่ของแฟรนไชส์ Fast ก็คือ นี่คือหนังภาคที่ 10 ของแฟรนไชส์แล้ว หนังได้มอบทุกอย่างให้กับผู้ชมจนไม่เหลืออะไรแปลกใหม่หวือหวาให้คนดูคาดหวังอีกต่อไป แต่สิ่งที่ผู้ชมพูดถึงมากที่สุดในภาคนี้ก็คือการปรากฎตัวของ เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ที่ฝากการแสดงไว้อย่างน่าจดจำ แต่ลำพังพลังของโมโมอาก็ไม่เพียงพอที่จะลากหนังไปแตะตัวเลขระดับ 1,000 ล้านเหรียญได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็ได้ดู Fast 11 กันอย่างแน่นอน แต่ก้าวต่อไปจากนี้จะเป็นก้าวที่ยากขึ้นและเป็นก้าวที่สตูดิโอและทีมสร้างต้องระมัดระวังอย่างมาก เชื่อแน่ว่าทางผู้บริหารสตูดิโอจะต้องโดดมาคุมเข้มในกระบวนการสร้างอย่างใกล้ชิด และ Fast X ก็ส่อแววให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าหนังจะปิดตำนานด้วย Fast 11 หรือ Fast 12 แต่ก็ไม่ได้เป็นการปิดฉากที่สง่างามเสียแล้ว
ที่มา : movieweb