ดอกเตอร์ สเตรงจ์ ซูเปอร์ฮีโร่ตัวล่าที่เปิดตัวด้วยหนังนำเดี่ยวของตัวเอง ก่อนจะเข้าร่วมทีม อเวงเจอร์ ในภาคต่อไป สเตรงจ์ เป็นซูเปอร์ฮีโร่อีกตัวเด่นในยุคต้น ๆ ของมาร์เวล แจ้งเกิดในปี 1963 ปีเดียวกับ Iron Man เกิดทีหลัง สไปเดอร์แมน , ธอร์ , ฮัลค์ และ กัปตันอเมริกา แต่ก่อน เอ็กซ์-เม็น , สเตรงจ์ จัดได้ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความโดดเด่นเพราะความสามารถพิเศษของเขาจะต่างจากเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย ด้วยเพราะเขาเป็นพ่อมดระดับสูงสุด มีอิทธิฤทธิ์ในการสร้างอาวุธเวทย์ สร้างประตูทะลุมิติ ควบคุมมิติ กาลเวลาได้หมด
ถึงแม้หนังดอกเตอร์ สเตรงจ์ จะคลอดออกมาหลังบรรดาซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย แต่จริงแล้วโครงการหนังดอกเตอร์ สเตรงจ์ เคยวางแผนสร้างมาตั้งแต่ปี 1992 แล้ว รอบนั้นจะให้ เวส คราเวน เจ้าพ่อหนังสยองขวัญมากำกับ รอบต่อมาปี 2001 มอบหน้าที่ให้ เดวิด เอส.โกเยอร์ มือเขียนบทระดับต้น ๆ ที่ปัจจุบันเขียนให้หนังดีซีล้วน ๆ , ปี2008 ตกอยู่ในมือ กิลเลอร์โม เดลโตโร ก็ล่มอีกจนมาเป็นจริงในปี 2014 ที่มาจบอยู่กับ สก๊อต เดริคสัน ผู้กำกับจากสายหนังสยองขวัญที่เป็นแฟนตัวยงของ ดอกเตอร์ สเตรงจ์ อยากกำกับจนถึงขั้นทำวีดีโอตัวอย่างที่เขากำกับเองส่งไปเสนอกับมาร์เวล แล้วก็เข้าตาทีมงานจนได้รับเลือกให้กำกับจริง
มาร์เวลยอมเลื่อนกำหนดฉายเพื่อรอคิวให้ เบเนดิค คัมเบอร์แบทช์ ว่าง
ก่อนดูก็สงสัยว่าทำไมมาร์เวลถึงเลือกแต่ผู้กำกับสายหนังสยองขวัญให้มากำกับ พอได้ดูแล้วก็เข้าใจเพราะเนื้อหาจะข้องแวะอยู่กับเรื่องวิญญาณ การถอดจิต และมิติมืด มีฉากเพ้อ ๆ หลอน ๆ หลุดโลกอยู่หลายครั้ง พอสก๊อต ได้กำกับก็เลยเหมาหน้าที่เขียนบทเองเสียด้วย แล้วดึงเอาคู่หู ซี.โรเบิร์ต คาร์กิล มือเขียนบทที่เขียน Sinister 1-2 ให้กับเขามาก่อน และการเปลี่ยนแปลงตัวละครหลักอย่าง แองเชียนวัน อาจารย์ของสเตรงจ์จากชาย ให้มาเป็นหญิงแล้วเลือกธิลดา สวินตัน ให้มารับบทก็เป็นไอเดียของผู้กำกับสก๊อต เอง ก็เลยทำให้ เคน วาตานาเบ้ , บิล ไนฮีย์ และมอร์แกน ฟรีแมน (อีกแล้ว) ต่างก็ชวดบทสำคัญไป แต่การที่มาร์เวลยอมเลื่อนกำหนดฉายเพื่อรอคิวให้ เบเนดิค คัมเบอร์แบทช์ ว่าง ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกทาง เบเนดิค เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วดูเข้ามากกับภาพ ดอกเตอร์ สเตรงจ์ ที่เห็นกันมาจากการ์ตูน
หนังเดินเรื่องที่ไปที่มาของหมอสเตรงจ์ ตามต้นฉบับการ์ตูน สตีเฟน สเตรงจ์ เป็นศัลยแพทย์ที่ฝีมือฉกาจมาก ต้นเรื่องก็เลยต้องมีฉากให้หมอสเตรงจ์ได้โชว์การวินิจฉัยและผ่าตัดเคสยาก ๆ ให้ดูกัน ให้คนดูได้เห็นตัวตนของหมอสเตรงจ์ถึงความทะนง อีโก้จัด หลงตัวเอง ปากร้าย ใจดำ และรวยมาก ๆ ไม่นานก็เข้าวิกฤตการณ์ของเรื่อง หมอสเตรงจ์ รถคว่ำ รอดตายแต่กระดูกมือแตกละเอียด มือกลับมาใช้การไม่ได้เหมือนเดิม เครียดจัด จิตตก เมื่อวิทยาการแพทย์ปัจจุบันไม่สามารถรักษามือเขาให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ก็ไม่สามารถกลับมาประกอบอาชีพเดิมได้ จนสเตรงจ์ไปได้ยินเรื่องราวว่าเคยมีคนไข้อัมพาตครึ่งตัวที่โรงพยาบาลนี้สามารถกลับมาเดินได้อย่างคนปรกติ สเตรงจ์ตามหาตัวคนไข้นั้นจนเจอและได้เบาะแสคือ “คาร์มาทาส” สถานที่ลึกลับใน กาฐมานฑุ สเตรงจ์ จึงออกตามหาจนพบ และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับ แองเชี่ยนวัน จอมเทพย์สูงสุด
หนังปูเรื่องมาแบบเคร่งเครียด กับชีวิตที่ชะตากลั่นแกล้งของหมอสเตรงจ์ แต่พอเข้าครึ่งหลังผู้กำกับกลัวว่าหนังจะเป็นดีซีมากไปมั้ง ก็เลยเริ่มหยอดมุกเข้ามามากขึ้น มากขึ้น มุกแรก ๆ ก็เลยยังดูขัด ๆ กับโทนเรื่องที่หม่นมาตลอด ปรับตัวไม่ทันว่าตกลงจะให้ขำแล้วใช่มั้ย ตามรูปแบบของหนังภาคแรกนะครับ ที่หนังจะต้องหมดเวลาไปกับการแนะนำประวัติความเป็นมาของซูเปอร์ฮีโร่ตัวนั้น แล้ว Doctor Strange ก็จัดอยู่ในกลุ่มหนังสั้นของมาร์เวลด้วย คือ 1 ชั่วโมง 55 นาที จากตอนสเตรงจ์รถคว่ำ ตามหาแองเชี่ยนวัน และเรียนรู้จนเก่งก็เล่าอยู่ภายใน 1 ชั่วโมงแรก
ความเก่งกาจของสเตรงจ์แถมยังมีของเล่นเทพมากมายก็เลยดูจะเป็นต่ออีกฝ่ายอยู่มาก
มีฉากหลังจบ 2 รอบ รอบแรกรอแค่ไม่กี่นาทีก็มาแล้ว แนะนำว่าควรให้รอดูอันนี้เพราะต่อยอดไป The Avengers ภาคต่อไป ส่วนอันที่ 2 รอนานหลายนาที มาหลังเครดิตจบเลย อันนี้ไม่ต้องรอก็ได้เพราะเผยตัวร้ายของ Doctor Strange ภาคต่อไป สุดท้ายก็รู้อยู่ดี ไม่มีอะไรน่าเซอร์ไพรส์