เกริ่นก่อนเลยว่าผมไม่ได้คลั่งไคล้ หรือหนักข้อไปกว่านั้นพูดกันตามจริง ผมไม่รู้จักโอเอซิสในแง่ของดนตรีจริงๆด้วยซ้ำ ผมได้ยินความยิ่งใหญ่ของวงในช่วงเวลาที่ผมไม่ได้สนใจแนวเพลงนี้ ผมรู้จักฝีปากของสองพี่น้องคู่นี้เวลาระรานวงอื่นๆ รู้จักวีรกรรมของเลียมกับโนลตามข่าวต่างๆ จนบางทีก็สงสัยว่าวงนี้มันมีสมาชิกคนอื่นๆบ้างหรือเปล่าฟระ หรือใช้วงแบ็กอัพเล่น บางทีก็คิดว่าถ้ามีสารคดีชื่อเรื่องอย่าง Other Oasis ที่มากกว่าสองพี่น้องแกลลาเกอร์ก็คงน่าสนใจดี
หนังสารคดีเรื่องนี้เข้ามาตอบสิ่งที่คาใจผมมานานพอดี แล้วมันก็ทำให้รู้ว่า เออมันมีเม็มเบอร์คนอื่นนะ และไอ้ความเข้าใจของผมมันผิดมาก เพราะโอเอซิส มันก็คือไอ้สองพี่น้องนั่นล่ะ โดยแทบไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่นมากเลย เหมือนอย่างที่โนลพูดในหนังนั่นล่ะ “จุดแข็งของโอเอซิสคือผมกับเลียม แต่ก็เป็นเราสองคนเช่นกันที่พามันมาถึงจุดจบ” ซึ่งแทบทั้งเรื่องเราก็จะได้ดูทั้งสองคนนี้ล่ะ แบบไม่สนใจใครหน้าไหนอีกเลย จนถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มรู้สึกว่า “จริงแล้วหนังเรื่องนี้มันไม่ได้สร้างมาให้แฟนๆซาบซึ้งน้ำตาไหลรำลึกคืนวันอะไรหรอก มันเป็นเหมือนการจับสองพี่น้องที่เลิกคบกัน มาพูดความในใจถึงกันแบบอ้อมๆซึนๆ เพื่อเยียวยากันและกันเองต่างหาก” ร๊อกมาก ณ จุดนั้น ผมรู้สึกเลย เชสสสส ไม่ใช่แค่เพลงที่แต่งที่ร้อง แม้แต่หนังสารคดีที่คนอื่นทำเรื่องของไอ้พวกนี้ มันยังกลายเป็นหนังส่วนตัวสองพี่น้องนี่ ที่ไม่ได้แคร์คนดูเท่าไรเลยอ่ะ (ฮา)
ทั้งเรื่องนำเสนอผ่านเสียงสัมภาษณ์ ของ โนล และ เลียม แกลลาเกอร์ แบบมาแต่เสียงจริงๆโดยขึ้นชื่อเอาว่าตอนนี้เสียงใครพูด ซึ่งดูเหมือนควรจะน่าเบื่อ แต่ด้วยฝีมือการตัดต่อภาพนู่นนี่นั่นมาใส่ของ แม็ตต์ ไวท์ครอสส์ ผู้กำกับที่ผ่านงานมิวสิควิดีโอให้วงอย่างโคลด์เพลย์ รวมถึงความปากเป็นเอกของสองพี่น้อง ทำให้ตลอดช่วงเวลาการเล่าของหนังมีแต่ความเมามันอย่างกับร๊อกแอนด์โรลก็ไม่ปาน
หนังเลือกเล่าเรื่องตามลำดับเวลาตั้งแต่สองพี่น้องนี้ยังเด็กผ่านเสียงสัมภาษณ์ของ เป็กกี้ คุณแม่ และ พอล พี่ชายของทั้งคู่ จนถึงช่วงที่ความสนใจด้านดนตรีเข้ามาเกิดการฟอร์มวงนู่นนี่นั่นผ่านเสียงสัมภาษณ์ของคนที่ร่วมการเดินทางนั้น ทั้งเพื่อนสมาชิกวงคนสำคัญอย่าง โบนเฮด และสมาชิกคนอื่นๆ รวมถึงโปรดิวเซอร์คู่ใจ เจ้าของค่ายเพลง แก๊งทัวร์คอนเสิร์ต ฯลฯ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมต่างๆจากภายในจริงๆ แต่หลักๆก็คือสองพี่น้องนั่นล่ะ ภาพฟุตเทจต่างๆก็ได้มาจากทั้งข่าวบ้าง บันทึกการแสดงบ้าง วิดีโอโฮมที่ทีมงานถ่ายกันเองบ้าง และที่เหล่าบรรดาแฟนคลับต่างรวบรวมเก็บกันไว้บ้าง ทำให้มีอะไรให้ดูหลากหลายไม่น่าเบื่อเลย
ด้วยความที่ไม่ใช่แฟนอย่างที่บอกตอนแรก ผมเลยไม่ได้แบบโอ้โห้ น้ำตาไหลกับซีนนี้ เพลงนั้นอะไรแบบนั้นเลย ไม่มีโมเม้นท์แบบโหเพลงนี้ตอนมันดังนั่งฟังตอนที่ทะเลาะกับเพื่อนอยากไปขอโทษมันจัง อะไรแบบนั้น ไม่มีเลย ผมเรียนรู้โอเอซิสไปจากศูนย์เลยกับหนังเรื่องนี้ แล้วรู้มั้ยผมค้นพบอะไร
มันเป็นหนังสารคดีที่สนุกมาก ดูหนังสารคดีเกี่ยวกับวงร๊อกมาก็เยอะแต่เรื่องนี้ก็แทรกขึ้นในลิสต์บนๆ ได้ไม่ยาก เพราะมันไม่ได้พูดถึงแค่ที่มาที่ไป ความสัมพันธ์ในวง เรื่องดราม่าของสมาชิก เพลง จุดสูงสุด จุดตกต่ำ แต่มันมีอะไรแฝงบางอย่างในนั้น ในคำพูดห่ามๆที่ไม่ได้ประดิดประดอย แพสชั่นทางดนตรีร๊อกที่มันมากกว่าตัวเพลงที่เร่งเร้าแต่ลึกลงไปถึงวิถีชีวิต ความซับซ้อนของบุคลิกและอารมณ์ของสองพี่น้อง ที่มันเผยรายละเอียดมาเรื่อยๆให้เห็นมิติที่ลึกมากขึ้นๆ ว่าทำไม? พี่น้องที่ทำวงจนสำเร็จด้วยกันถึงได้ขัดแย้งกันรุนแรงขนาดนั้น ถึงสุดท้ายเลยผมแทบไม่รู้สึกว่ามันมีความเกลียดใดๆในหนังเรื่องนี้เลย มันคงมีแต่ความรักที่แสดงออกอย่างไม่เป็นปกติเท่านั้นเอง
หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักแน่ๆผมรู้สึกแบบนั้นเลย มันพูดถึงความรักมากมาย ความรักของครอบครัว ความรักในสิ่งที่อยากทำแบบเหมือนเอาทั้งชีวิตเข้าแลก ความรักของคนที่รายล้อมผลักดันทั้งออกหน้าและไม่ออกหน้า ความรักของคนของแฟนเพลงเป็นแสนเป็นล้านคน และความรักที่เพิ่งเกิดขึ้นของคนที่เพิ่งรู้จักโอเอซิสอย่างผม
หลังจากดูหนังจบ เชื่อว่าสิ่งหนึ่งเลยที่คุณจะทำไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือไม่ใช่แฟนก็ตาม ก็คือกลับไปหาเพลงของโอเอซิสที่ได้ยินในหนังมาฟัง บางคนอาจเป็นเพลงตัวหลักอย่าง Champagne Supernova ที่ใช้เวลานานที่สุดในหนัง รวมถึงยังใช้เป็นบทสรุปของหนัง Supersonic ที่เป็นทั้งชื่อเรื่องและเพลงเปิดตัว Wonderwall เพลงที่ดังที่สุดของพวกเขาและโคตรเพราะมากๆเวลาอยู่ในหนัง ส่วนตัวผมเลือกฟังเพลงอย่าง Live Forever และ Talk Tonight เพราะรู้สึกกระแทกบางอย่างในตัวขณะที่ฟังเพลงและอ่านเนื้อเพลงในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าแม้จะไม่ได้เคยมีเหตุการณ์ในชีวิตพ่วงกับเพลงในอดีตแบบเหล่าแฟนเพลง แต่เพลงของพวกเขามีบางอย่างเชื่อมกับจิตใจของเราทุกคนได้ด้วยเนื้อหาที่เหมือนแตกความเป็นวัยรุ่นของมนุษย์ทุกเจนเนเรชั่นได้เด็ดขาด จนเราเดินออกจากโรงมาแล้วอยากตะโกนว่า ไอฟิลลิ่งไลค์ซูเปอร์โซนิก ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร เหมือนกับเพลงของโอเอซิสล่ะ ที่เนื้อหาแปลกันตรงๆมันจะงงๆแต่โคตรกระแทกใจ
สุดท้ายสำหรับตัวผมเองที่ไม่เคยรู้จักโอเอซิสจริงจัง หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ความรู้สึกตอนนี้มันคือท่อนหนึ่งในเพลง Columbia ของโอเอซิสที่ว่า But I can’t tell you the way I feel. Because the way I feel is oh so! new to me. เลยอยากให้ทุกคนไปรู้สึกเอาเองมากๆในโรงครับ มันว้าวมากจริงๆนะ
ขอบคุณภาพจาก Documentary Club และการสรรหาหนังสารคดีดีๆมาให้ชมเสมอมาด้วยครับ ใครสนใจบทความดีๆที่มาและเกร็ดเพลงของโอเอซิสทางเพจด็อกฯคลับได้แปลมา ซึ่งผมว่าน่าสนใจมาก อ่านได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ
ย้อนตำนาน “Champagne Supernova”
6 คำถาม-คำตอบกับแม็ตต์ ไวท์ครอสส์ ผู้กำกับ Oasis: Supersonic
(ตอน 1)