[รีวิว] Tokyo Revengers 2: Bloody Halloween – หนังนักเลง ‘ของแทร่’ ที่ดีไม่แพ้ฉบับการ์ตูน
Our score
8.3

วันฉาย

31 / 8 / 2566

แนว

แอ็กชัน, ดราม่า

เวลา

136 นาที

ผู้แต่ง

เคน วากุอิ

เรตผู้ชม

15+

OUR SCORE

8.3

[รีวิว] Tokyo Revengers 2: Bloody Halloween – หนังนักเลง ‘ของแทร่’ ที่ดีไม่แพ้ฉบับการ์ตูน
Our score
8.3

[รีวิว] Tokyo Revengers 2: Bloody Halloween – หนังนักเลง ‘ของแทร่’ ที่ดีไม่แพ้ฉบับการ์ตูน

จุดเด่น

  1. หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น
  2. ตัวละครมีมิติที่โตมากกว่าเดิม ไม่ง้องแง้งเหมือนในฉบับการ์ตูน
  3. ฉากแอ็กชันที่ต่อยกันหนัก แฟนซูซุรันจะต้องรัก
  4. บทที่ตัดความวุ่นวายในต้นฉบับ และให้น้ำหนักกับความจริงจังของเนื้อหา

จุดสังเกต

  1. อารมณ์ขันของต้นฉบับน้อยลง
  2. ซีนแต่งตั้งพระเอกตอนท้ายเรื่อง แอบชอบต้นฉบับมากกว่า
  3. หนังลดทอนความโอเวอร์ลง ถ้าใครที่อยากเห็นสเกลพลังเหนือมนุษย์อาจผิดหวัง
  • คุณภาพด้านการแสดง

    8.0

  • คุณภาพของงานโปรดักชัน

    8.5

  • คุณภาพของบท

    8.5

  • คุณภาพของความบันเทิง

    8.1

  • ความคุ้มเวลาในการชม

    8.5

Tokyo Revengers 2: Bloody Halloween เป็นภาพยนตร์ Live Action ที่ดัดแปลงมาจากอนิเมะ และมังงะ Tokyo Revengers ซึ่งแต่งโดยอาจารย์ เคน วากุอิ (Ken Wakui) เล่าเรื่องของ ฮานางาคิ ทาเคมิจิ ชายหนุ่มลูสเซอร์ที่ชีวิตล้มเหลวซะทุกอย่าง วันหนึ่งเขาพบว่าตนสามารถย้อนเวลาได้ ทาเคมิจิจึงย้อนเวลาเพื่อไปเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง และเพื่อน ๆ ท่ามกลางสงครามของแก๊งนักเลงที่ทาเคมิจิต้องเอาชีวิต หญิงที่รัก และอนาคตเป็นเดิมพัน

หนังโรงภาคนี้ดัดแปลงมาจากช่วงครึ่งหลังของการ์ตูนภาค Bloody Halloween โดยในตอนจบภาคแรก เราจะเห็นว่าทาเคมิจิกลับไปสู่โลกอนาคตแล้วก็จริง แม้จะสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตไป แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ เพราะในเวลาต่อมาเพื่อนรักของเขาอย่างอั๊คคุง และฮินะแฟนสาวของทาเคมิจิก็ยังต้องเสียชีวิตอยู่ดี ซึ่งต้นตอมาจากเหตุการณ์ฮาโลวีนสีเลือด ที่ไมค์กี้ได้สังหารคาสึโทระ ดังนั้นทาเคมิจิจึงต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อหยุดฮาโลวีนสีเลือดนี้ไม่ให้เกิดขึ้น

“โคตรดี หนังนักเลง ‘ของแทร่’ มันต้องเป็นแบบนี้”

ผู้เขียนถึงกับสบถคำนี้ในใจ ตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่ได้รับชมภาพยนตร์ เพราะหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ความรัก และความเข้าใจการ์ตูนต้นฉบับอย่างเต็มเปี่ยม แต่ขณะเดียวกันมันก็อยู่ในการดัดแปลง ที่ดูแล้วไม่ใช่การ Copy+Paste แบบหนัง Live Action ญี่ปุ่นเรื่องอื่น ๆ 

ขอบอกก่อนว่าผู้เขียนค่อนข้างรู้สึกเฉย ๆ กับภาค Bloody Halloween ในเวอร์ชันอนิเมะ เพราะด้วยเส้นเรื่องที่มากมาย แถมเนื้อหาก็มีจุดผ่อนคลายที่ยังติดความเป็นการ์ตูน แม้ศึกฮาโลวีนสีเลือดจะทำบทออกมาได้ค่อนข้างดี แต่ผู้เขียนก็แทบไม่ได้อินไปกับเรื่องราวของแก๊งโตมัน มากเสียจะอยากรู้ความเป็นไปในผลลัพธ์ที่ทาเคมิจิต้องกอบกู้ 

ทว่าหนังเรื่องนี้กลับทำได้ดีกว่านั้น หนังคนแสดงภาคฮาโลวีนสีเลือด ดึงเอาจุดเด่นของหนังคนแสดงของ Tokyo Revengers ภาคแรกมาต่อยอดได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือตัดเส้นเรื่องที่ยุบยับของต้นฉบับออกไป พร้อมกับขยายความฉากที่ไม่มีอนิเมะให้เข้ากับหนัง ยิ่งภาคนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 พาร์ต ยิ่งทำให้หนังให้เวลากับเนื้อเรื่องได้ดีขึ้น เต็มอิ่มมากกว่าเดิม (ถ้าใครดูไม่ทันในตอนที่หนังโรงภาคฮาโลวีนสีเลือดพาร์ตแรกเข้าฉาย หนังภาคนี้ก็มีย้อนความให้ แต่เพื่อความอิน หากมีเวลาก็ดูอนิเมะแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ในยูทูบ หรือจะดูแค่ Tokyo Revengers คนแสดงภาคแรกใน Netflix ก็ได้นะ ขอบอกเลยว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน)

หนึ่งในสิ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือการตีความทาเคมิจิให้ดูโตขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยอายุนักแสดงจึงทำให้ต้องอัปอายุตัวละครในภาคคนแสดงเพิ่มขึ้นไปอีก 2 ปี แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เราได้เห็น การตีความทาเคมิจิที่เติบโตขึ้น หากใครรำคาญไอ้อาการขี้แยของทาเคมิจิในอนิเมะ ในภาคหนังโรงเราจะไม่หงุดหงิดจุดนี้เลย เพราะวีรบุรุษขี้แยของเราร้องไห้น้อยมาก และเวลาร้องไห้ก็ร้องออกมาในจังหวะที่ควรจะร้อง ไม่เหมือนในการ์ตูนที่ร้องมันทุกตอน

ด้วยความที่พระเอกนั้นไม่ได้เก่งต่อยตี จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงอยู่ที่แก๊งโตเกียวมันจิไครอบตัวพระเอกอย่าง ไมค์กี้, ดราเค่น, บาจิ และแก๊งหัวหน้าหน่วยต่าง ๆ ของโตมันกับวัลฮาล่า ที่เรียกได้ว่าแย่งซีนอย่างมาก โดยสิ่งหนึ่งที่ขอชมว่าทำได้ดีกว่าต้นฉบับ คือการออกแบบคิวบู๊ที่ดุเดือด สมกับเป็นหนังนักเลงต่อยตีจริง ๆ 

ในอนิเมะนั้น เราจะเห็นได้ว่ามีฉากต่อยตีก็จริง แต่ก็เป็นฉากที่ตัวละครออกแอ็กชันธรรมดา และมีการขยับกายภาพที่เกินมนุษย์อยู่มาก คือเราก็ข้าใจนะว่ามันเป็นการ์ตูน แต่ท่าทางการต่อสู้มันก็ดันมีแค่ ตั้งการ์ด ต่อยกัน ยกขาเตะ แล้วคุยกันวน ๆ ไปอยู่แค่นี้จริง ๆ (ซึ่งการ์ตูนโชเน็นปกติ มันจะมีการวาดลวดลายสร้างฉากต่อสู้ ให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เรื่องนี้กลับแทบไม่มี) นั่นทำให้อนิเมะ Tokyo Revengers ทำให้ตัวละครสู้กันได้แบบ ‘ไม่เท่’ เอาซะเลย

พอมาในส่วนของภาคคนแสดง จึงมีการอุดรอยรั่วนี้ โดยการปรับคิวบู๊ให้ออกมาดูดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนเดาว่าน่าจะใช้ทีมออกแบบฉากแอ็กชันจากซีรีส์นักเลงพวก Crows Zero หรือ High&Low มาช่วย เพราะการต่อยตีแต่ละที ทำให้เรารู้เลยว่าสิ่งนี้คือเอกลักษณ์ของหนังนักเลง เป็นอะไรที่รู้สึกว่าคนตีกันมันต้องแบบนี้ทั้งการจับทุ่ม หรือเอาหัวโขกกับเหล็ก ไม่ใช่แค่ชก ๆ ไปเหมือนในการ์ตูน ซึ่งเป็นดีเทลเล็ก ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสนุกกับมันมากขึ้น

ในส่วนของเพลงประกอบนั้น แม้ผู้เขียนจะแอบเสียดาย ที่ไม่ได้ยินเพลง ‘This is Revenge’ ที่เป็นหัวใจหลักของอนิเมะ แต่เพลง Gradation ของ SUPER BEAVER ก็สามารถทดแทนได้อย่างดี จนไม่มีอะไรต้องตำหนิในส่วนของเพลงประกอบเลย

ทางด้านของเนื้อหา ก็เป็นการนำข้อดีของการ์ตูนภาค Bloody Halloween มาดัดแปลงเส้นเรื่อง เพิ่มฉากที่จะกล่าวถึงอนาคตของซีรีส์ เรียกได้ว่าถ้าการ์ตูนต้นฉบับเป็นบะหมี่กึ่ง หนังภาคนี้คือน้ำร้อน เพราะแค่เติมน้ำลงไป บะหมี่กึ่งก็พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งการบรรจงเลือกสรรท็อปปิงใส่ไปเพิ่ม ก็ทำให้บะหมี่ชามนี้ มีรสชาติที่อร่อยขึ้นกว่าเดิมซะอีก

โตเกียว รีเวนเจอร์ส : ฮาโลวีนสีเลือด ภาคศึกตัดสิน เป็นหนังที่ดีเกินคาดสำหรับผู้เขียนเอามาก ๆ เพราะปกติ หนังที่สร้างจากมังงะ หรืออนิเมะมักจะมีจุดด้อยในส่วนของเนื้อหาที่รวบรัดเกินไป และความจูนิเบียวของตัวละคร ที่คนจริง ๆ เขาแทบไม่ทำแบบกัน แต่หนังกลับดัดแปลงด้วยการเลือกที่จะคงเส้นเรื่องเดิมไว้ และตีความตัวละครใหม่ ให้มีมิติความคิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น เราจึงได้ Tokyo Revengers ที่มีกลิ่น High&Low มาผสม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรสชาติของวัยรุ่นโตมันที่ทั้งคนทั่วไป และแฟนคลับต้องมาดูให้ได้

ท้ายที่สุดแล้ว หากจะบอกว่า Tokyo Revengers เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำลายคำสาปหนังจากอนิเมะได้อย่างยอดเยี่ยมก็คงไม่ผิดนัก เพราะมีทั้งการดัดแปลงที่ถูกใจ และคงไว้ซึ่งเส้นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งใครที่เคยดูฉบับอนิเมะมาแล้ว บอกเลยว่าหนังคนแสดงภาคนี้จะทำให้คุณอิ่มเอมขึ้นกว่าเดิมเลยล่ะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส