ซอมบี้แนววิ่งเป็นฝูงมดก็มีแล้ว ซอมบี้มีหัวใจแอบรักสาวก็มีแล้ว ซอมบี้ที่มีมนุษย์น่ากลัวกว่าก็มีอีกแล้วล่ะ ยังเหลืออะไรให้เล่าอีกล่ะเนี่ย? นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่ Colm McCarthy ผู้กำกับที่มีผลงานทีวีซีรีส์อย่าง Sherlock และ Doctor Who เลือกจะหยิบเอานิยายขายดีของ Mike Carey เรื่องนี้เอามาทำหนัง โดยยังได้เจ้าของนิยายมาเขียนบทหนังด้วยตนเองอีกด้วย
แล้วเจ้าเรื่อง The Girl with All the Gifts นี้มันมีดีแตกต่างจากหนังซอมบี้ทั้งล้านแปดนั้นอย่างไรล่ะ ตรงนี้คือความน่าสนใจของหนังเลยครับ เพราะมันเล่าเรื่องของเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมาในท้องที่แม่ติดเชื้อแล้ว พวกเด็กเหล่านี้จึงมีภูมิต้านทางธรรมชาติในการอาศัยอยู่ร่วมกับเจ้าเชื้อซอมบี้นี้ได้โดยมีสติสัมปชัญญะแบบมนุษย์ครบถ้วน ด้วยการที่เป็นความหวังในการวิจัยวัคซีนทำให้พวกเขา/เธอถูกรัฐบาลจับมาทดลองในค่ายกักกัน โดยมีสภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างจากนักโทษที่ไม่ได้รับอิสระใดๆ รวมถึงอาหารที่เป็นเพียงหนอนแมลงสดๆเท่านั้น แต่เด็กๆ พวกนี้ก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกครับเพราะโลกทั้งใบตั้งแต่เกิดก็ถูกปฏิบัติแบบนี้มาแล้ว
ศูนย์กลางของเรื่องนี้อยู่ที่เด็กหญิงผิวสีชื่อ เมลานี เธอจัดเป็นเด็กที่มีภาวะผู้นำสูงทั้งความฉลาดเฉลียว ช่างสังเกตจดจำ รู้จักยับยั้งชั่งใจ อ่อ ตรงนี้ลืมกล่าวไป ถึงพวกเด็กพวกนี้จะเหมือนมนุษย์ทุกอย่างแต่เวลาหิวหากได้กลิ่นมนุษย์เป็นๆก็จะมีอาการกระหายหิวแบบพวกซอมบี้ครับ ดังนั้นเหล่าทหารและครูที่ดูแลเด็กเหล่านี้จึงต้องรักษาระยะห่างและหวาดระแวงพอสมควร ดังนั้นการยับยั้งใจและตัดสินโดยใช้เหตุผลเหนืออารมณ์จึงทำให้เธอโดดเด่นมากกว่าเด็กๆในรุ่นราวคราวเดียวกันพอสมควรเลย ความพิเศษของเธอนี้ก็ไปถูกชะตาเข้ากับคนสองคน หนึ่งคือครูสาว จัสตินู ผู้มีเมตตาเธอเอ็นดูเมลินีเป็นพิเศษถึงขนาดที่ว่ายอมละเมิดกฏข้อห้ามหลายประการทีเดียว ทั้งการแตะเนื้อต้องตัว จนถึงฝ่าฝืนคำสั่ง ส่วนอีกคนที่สังเกตเห็นความไม่ธรรมดาของเมลินีก็คือ ดร.คาลด์เวล (แสดงโดยดาราเก่าเจ้าบทบาทอย่าง Glenn Close น่าจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนเดียวในเรื่องเลย) คาลด์เวลเชื่อว่าเซลล์สมองของเมลินีคือคำตอบสุดท้ายในงานวิจัยหาวัคซีนของเธอ แน่นอนเธอหวังจะผ่าเอาสมองเมลินีมาศึกษา แต่โชคดีของเมลินีหรืออย่างไรไม่ทราบได้ค่ายทหารที่พวกเธออาศัยอยู่โดนฝูงซอมบี้บุกทำลายเสียก่อน กลุ่มคนที่เจตนาต่างกันจึงต้องหนีตายออกมาพร้อมกัน ก่อเป็นเรื่องราวชวนดราม่า ผ่านพัฒนาการเรียนรู้โลกภายนอกของเมลินีกับคนที่มีทั้งหวังดีและไม่หวังดีต่อเธอหลังจากนั้นนั่นเองครับ
หนังเด่นด้วยพล็อตที่เล่นกับ ซอมบี้ครึ่งคน ซึ่งยังไม่เห็นมุมมองอะไรแบบนี้ในหนังแนวนี้นัก ทั้งยังแฝงความเป็นปรัชญาผ่านนิทานที่เด็กๆ อ่านและแต่งด้วย อย่างความเป็นทั้งคนเป็นและคนตายของเมลินีก็ถูก ดร.คาลด์เวล ตั้งโจทย์ถามเธอโดยใช้ทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์มาอิงด้วย ว่า หากเอาแมวไว้ในกล่องโดยไม่เปิดดู แมวตัวนั้นจะเป็นแมวที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ตรงนี้ชโรดิงเจอร์ใช้เพื่อบอกว่าหากเราไม่เข้าไปพิสูจน์ความจริงคือเปิดกล่องนั้น แมวในกล่องมีโอกาสทั้งเป็นและตายอยู่พร้อมกัน ซึ่งก็คือสิ่งที่คาลด์เวลพยายามสื่อถึงตัวตนของเมลินีนั่นเอง ตรงนี้ยังมีคำพูดหรือปรัชญาคมๆมาใช้อีกหลายครั้ง รวมไปถึงความหมายของชื่อเรื่องที่ว่าด้วยของขวัญ/ของพิเศษด้วย จึงไม่แปลกที่หนังอังกฤษเรื่องนี้เลยถูกมองว่าเป็น 28 Days Later ของปีนี้ไปด้วยองค์ประกอบที่ค่อนข้างโตเหล่านี้นี่เอง
สิ่งที่ดียังมีทั้งเรื่องโปรดักชั่นที่กำลังพอดีๆ ดีไซน์ซอมบี้ที่แตกต่างจากเรื่องอื่น ด้วยการอธิบายซอมบี้ว่าเกิดจากเชื้อราเข้าไปทำลายสมองทำให้ศพซอมบี้ไม่ได้เละเลือดโชกแต่เป็นเหมือนเชื้อราเกาะคลุมตัว การออกแบบเด็กครึ่งซอมบี้ที่มีทั้งความเดียงสาและมุมที่น่ากลัว การแสดงของเกล็น โคลส ที่ช่วยส่งให้น้องเซนน่าได้เล่นเป็นเมลินีได้อย่างน่าเชื่อ รวมถึงการนำเสนอที่ไม่มีมนุษย์ที่ดีล้วนเลวล้วน เรื่องนี้มนุษย์อาจไม่ใช่ตัวร้ายที่สุดหากแต่เป็นธรรมชาติกลไกวิวัฒนาการต่างหากที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน ก็นับว่ามีอะไรให้ติดตามไม่ชวนง่วงอย่างที่คิดในตอนแรกครับ
มาด้านที่ไม่ดีบ้าง หนังพลาดในการเซ็ตติ้งโลกของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะพลาดเลย โดยปกติพอหนังเลือกเซ็ตคำอธิบายซอมบี้ต่างจากทั่วไปก็ต้องมาพร้อมคำอธิบายถึงธรรมชาติของซอมบี้แบบใหม่นี้ด้วย แต่ปรากฏว่าซอมบี้ในเรื่องนี้มั่วตั้วมากครับ ตัวละครอธิบายว่าพวกมันจะตอบสนองกับสิ่งเร้าคือเสียงดังและกลิ่นกายมนุษย์ แต่ในหลายๆ ฉากเราจะเห็นว่าบางทียิงปืนอยู่ใกล้ๆบางตัวก็ยืนนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น ยิ่งฉากที่เดินฝ่าฝูงซอมบี้ยิ่งเห็นชัด ทำให้เราไม่เข้าใจและพลอยไม่เชื่อตัวหนังไปด้วยเลย อีกอันก็ความขึ้นๆลงๆของตัวละครโดยเฉพาะตัวครูจัสตินูที่เหมือนจะเป็นชั้นรองในสายงาน แต่พอตอนหนีออกมาเธอก็ดันมีปากมีเสียงและอำนาจต่อรองให้เมลินีขึ้นมาเสียอย่างนั้น และอย่างไร้เหตุผลใดๆช่วยอธิบายเลยด้วย ตรงนี้ก็ต้องบอกว่าหนังทิ้งความน่าเชื่อถือของตัวเองไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ แม้ตอนจบบทสรุปจะเหนือชั้นและเสียดสีมากเหลือเกินก็ตาม แต่หนังก็ขาดความสมบูรณ์ไปในจุดที่ผมได้กล่าวไปครับ
สรุป
เป็นหนังซอมบี้ที่เข้ามาแก้เลี่ยนซอมบี้เดิมได้ดีครับ ทั้งยังเปิดพื้นที่สมองให้ขบคิดอะไรได้อีกหลายอย่างด้วย แม้จะมีจุดบกพร่องบ้างแต่โดยรวมก็ให้รสชาติใหม่ๆดีครับ เหมือนน่าจะง่วงแอ๊กชั่นน้อยแต่ก็ไม่หลับนะ เอาเป็นว่าถ้าเบื่อๆอยากเจอซอมบี้อื่นๆบ้างควรลองไปชมครับ