หลังจากที่รวบรวมข้อมูลรายได้จากประเทศต่าง ๆ จนครบ ล่าสุด Variety ได้รายงานว่า ‘Dune: Part Two’ ทำรายได้ทั่วโลกสัปดาห์แรกอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 182.5 ล้านเหรียญ โดยเป็นรายได้จากสหรัฐฯ 82.5 ล้านเหรียญ (1 – 3 มี.ค.) และเป็นรายได้จากต่างประเทศ 100 ล้านเหรียญ (28 ก.พ. – 3 มี.ค.)
รายได้เปิดตัวดังกล่าวสูงกว่ารายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกของ ‘Oppenheimer’ (2023) ที่ทำไว้ 180.4 ล้านเหรียญ และท้ายที่สุดทำรายได้สุทธิที่ 957.7 ล้านเหรียญ อีกทั้งยังทำให้ ‘Dune: Part Two’ เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ เดอนีส วีลเนิฟว์ (Denis Villeneuve) ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดด้วย
หากพิจารณาในด้านสุทรียศาสตร์แล้วนั้น นับว่า ‘Dune: Part Two’ และ ‘Oppenheimer’ มีความใกล้เคียงกันอยู่ไม่น้อย โดยทั้งคู่ใช้ประโยชน์กลยุทธจากการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยตร์ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งนอนอกจากการมีเวอร์ชันฟอร์แมตขนาดใหญ่อย่าง IMAX แล้วก็ยังมีทั้งเวอร์ชัน 70 มม. แบบปกติ และ IMAX 70 มม. ในบางโรงภาพยนตร์ให้ผู้ชมได้เลือกรับชมตามความต้องการด้วย
ก่อนหน้านี้วีลเนิฟว์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การประท้วงหยุดงานของสมาพันธ์นักแสดง SAG-AFTRA เมื่อปลายปี 2023 ทำให้เขามีเวลาแปลงภาพยนตร์เป็นฟิล์ม 70 มม. ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการแผยแพร่ได้เป็นอย่างมาก โดยโรงภาพนยตร์ IMAX ทั่วโลกในตอนนี้สามารถฉายภาพยนตร์ในฟอร์แมตขนาด 70 มม. นี้ได้หลังจากที่ ‘Oppenheimer’ ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ประสบความสำเร็จ รวมถึง ‘Tenet’ (2020) ที่ได้รับการนำมาฉายซ้ำด้วย
และด้วยความที่ ‘Dune: Part Two’ จะได้รับการฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX แบบ 70 มม. ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2024 นี้ (ในตลาดต่างประเทศ) ก็ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความต้องการรับชม ‘Dune: Part Two’ แบบเต็มตาในฟอร์แมตที่ใหญ่นี้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นกลยุทธที่สร้างความพิเศษให้กับภาพยนตร์แล้ว ก็ยังช่วยให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ซบเซากลับมาคึกคักอีกครั้ง
แต่กระนั้น กลับมีโรงภาพยนตร์ IMAX เพียง 12 แห่งเท่านั้น ที่รองรับการฉาย ‘Dune: Part Two’ ในฟอร์มแมตขนาดใหญ่ขึ้นอย่าง 15/70 มม. (ใหญ่กว่า 70 มม. ถึง 3.5 เท่า) ได้ ซึ่งน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับ ‘Oppenheimer’ ที่มีโรงภาพยนตร์ IMAX รองรับถึง 30 แห่ง