นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามของภาพยนตร์ชีวประวัติฟอร์มยักษ์แห่งปี 2023 อย่าง ‘Oppenheimer’ ที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้ คำวิจารณ์ และยังประสบความสำเร็จบนเวทีประกวดในซีซันนี้ ด้วยการคว้ารางวัลจากเวทีต่าง ๆ มานับไม่ถ้วนและประสบความสำเร็จสูงสุดบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ (Academy Awards) ครั้งที่ 96 ประจำปี 2024 ที่ได้รับรางวัลจากครั้งนี้ไปมากที่สุดรวมทั้งสิ้น 7 รางวัล จากการมีชื่อเข้าชิงใน 13 สาขา
ตั้งแต่สาขาใหญ่สุดทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ของ คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) รวมทั้งสาขาเทคนิคทั้งตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และอีกรางวัลสำคัญ นั่นก็คือ รางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมตัวแรกในชีวิตของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan)
ด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้เว็บไซต์ Variety รายงานว่า โนแลนสามารถทำรายได้จากภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา รวมทั้งหมดเกือบ 100 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท แหล่งข่าววงในที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้เปิดเผยว่า รายได้ของโนแลนก้อนนี้ประกอบไปด้วยค่าจ้างในการกำกับภาพยนตร์, ส่วนแบ่งจากกำไรในการฉายทั่วโลก, โบนัสขั้นบันไดเมื่อทำรายได้ Box Office ถึงยอดตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และโบนัสที่ได้จากการรับรางวัลออสการ์ 2 สาขาที่โนแลนมีเครดิต (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม)
‘Oppenheimer’ ภาพยนตร์เรื่องแรกของโนแลนกับสตูดิโอ Universal Pictures นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ผลงานล่าสุดของโนแลนที่แฟน ๆ และผู้ชมทั่วโลกรอคอย นับตั้งแต่ผลงานหนังจารกรรมเรื่องก่อนหน้านั้นอย่าง ‘Tenet’ (2020) ที่เข้าฉายในช่วงโรคระบาดไม่สามารถทำรายได้ตามเป้า และยังเป็นหนังที่มีกระแสไปทั่วทั้งโลก จากการบังเอิญ (?) เข้าฉายในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 เช่นเดียวกับภาพยนตร์อีกเรื่องอย่าง ‘Barbie’ ของสตูดิโอ Warner Bros. ที่ฉายชนกันในวันที่ 21 กรกฏาคม วันเดียวกันพอดิบพอดี ก่อให้เกิดกระแสหนังคู่ขวัญ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์บาร์เบนไฮเมอร์ (Barbenheimer) ที่กลายเป็นไวรัลฮิตในช่วงนั้น
‘Oppenheimer’ สามารถทำรายได้บน Box Office ทั่วโลกรวมกว่า 960 ล้านเหรียญ เป็นหนังเรต R ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก ‘Joker’ (2019) ที่ทำรายได้ 1,078 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่เกินกว่าที่มีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านั้นว่าอาจจะทำรายได้ไม่มาก เนื่องจากเป็นหนังชีวประวัติที่มีเนื้อหาเรต R รวมทั้งความยาว 3 ชั่วโมงของหนังที่อาจไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เรียกว่า ‘Four-Quadrant movie’
นอกจากนี้ ‘Oppenheimer’ ยังกลายเป็นผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ที่ทำรายได้เป็นอันดับที่ 3 รองจาก ‘Titanic’ (1997) ที่ทำรายได้ 2,223 ล้านเหรียญ และ ‘The Lord of the Rings: The Return of the King’ (2003) ที่ทำรายได้ 1,121 แซงหน้า ‘Forrest Gump’ (1994) ที่เคยติดอันดับที่ 3 เจ้าของรายได้ 679 ล้านเหรียญตกไปอยู่ในอันดับที่ 4 แทน และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาอีก 1,000 โรงด้วย ทำให้รายได้ Box Office อาจปิดจบด้วยตัวเลขเกิน 1,000 ล้านเหรียญ ที่อาจทำให้โนแลนได้รับส่วนแบ่งจากรายได้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
นอกจากนี้ Variety ยังได้เผยข่าวดีว่า หลังจากจบโปรเจกต์ ‘Oppenheimer’ และจบช่วงเทศกาลรางวัลไปแล้ว โนแลนกำลังเตรียมตัวเขียนบทหนังเรื่องใหม่ โดยบางแหล่งข่าวเผยว่า โนแลนจะนำเอาทีวีซีรีส์แนวลึกลับระทึกขวัญของอังกฤษยุค 60s เรื่อง ‘The Prisoner’ (1967–1968) มารีเมกใหม่ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เคยถูกนำมารีเมกเป็นมินิซีรีส์ 6 ตอน ฉายทางช่องเคเบิล AMC และช่อง ITV ของอังกฤษมาแล้วในปี 2009
หมายเหตุ: Four-Quadrant Movie หมายถึงการอธิบายกลุ่มผู้ชม ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดภาพยนตร์ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบไปด้วย ผู้ชายอายุเกิน 25 ปี, ผู้หญิงอายุเกิน 25 ปี, รวมทั้งผู้ชายอายุต่ำกว่า 25 ปี และผู้หญิงอายุต่ำกว่า 25 ปี โดยสตูดิโอมักจะนำเกณฑ์นี้มาเป็นตัวกำหนดงบประมาณในการผลิตภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้เป็นหลักด้วย ซึ่งหากหนังเรื่องใดไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 2 จาก 4 กลุ่ม ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็มักจะไม่ได้รับอนุมัติให้ผลิต