ปี 2023 เป็นปีที่อุตสาหกรรมฮอลลีวูดเริ่มได้เห็นทิศทางใหม่อย่างชัดเจน หากมองในเชิงภาพรวมของทั้งวงการในช่วง 1-2 ปีย้อนหลัง จะพบว่านี่คือปีที่ซบเซาอย่างแท้จริงของบรรดาเนื้อหาที่สร้างจากแฟรนไชส์ ทั้ง ‘Jurassic World’, ‘Fast & Furious’, ‘Indiana Jones’, ‘Transformers’ รวมทั้งภาพยนตร์รีเมก และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ เช่นบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโรทั้งจาก Marvel และ DC ที่ได้รับผลตอบรับไม่ดีนัก และไม่สามารถทำรายได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ความสำเร็จของบรรดาแฟรนไชส์ดัง ๆ ในอดีตจึงไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จได้อีกต่อไป
ในขณะที่เนื้อหาที่มีความเป็นออริจินัล ตั้งแต่ ‘Oppenheimer’ รวมทั้งการดัดแปลงลิขสิทธิ์ในทิศทางใหม่ทั้ง ‘Barbie’ และ ‘The Super Mario Bros. Movie’ กลับประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมาได้อย่างงดงาม เป็นหนัง 3 เรื่องแรกที่ทำรายได้สูงสุดของปีที่ผ่านมา ในขณะที่หนังนอกกระแสเจ้าของรางวัล ทั้ง ‘The Zone of Interest’, ‘Anatomy of a Fall’ และ ‘Poor Things’ ก็เป็นที่สนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็สอดคล้องกับความต้องการเนื้อหาที่มีความเป็นออริจินัลและมีความสดใหม่ของกลุ่มคนหนุ่มสาวด้วยเช่นกัน
ทูบิ (Tubi) แพลตฟอร์มแบบ OTT (Over-The-Top) และแพลตฟอร์มสตรีมมิงทีวีและภาพยนตร์แบบรับชมฟรีแบบมีโฆษณาเจ้าใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจดิจิทัลของ Fox Corporation ได้ร่วมมือกับบริษัทวิจัยด้านการตลาด The Harris Poll ได้เผยแพร่รายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสตรีมมิง โดยทำการสำรวจกลุ่มผู้ชมในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ที่มีการสตรีมวิดีโออย่างน้อย 1 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ จำนวน 2,503 ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2023 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2024
พบว่า กลุ่มคนมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่มคน Gen Y (คนที่เกิดในช่วงปี 1981 – 1996) และกลุ่มคน Gen Z (คนที่เกิดในช่วงปี 1997 – 2012) จำนวน 3 ใน 4 หรือ 74% จากกลุ่มตัวอย่าง มีความชื่นชอบในเนื้อหาที่เป็นออริจินัล มากกว่าเนื้อหาที่เป็นการรีเมกเนื้อหาดั้งเดิม รวมทั้งเนื้อหาที่เป็นแฟรนไชส์ ในเอกสารดังกล่าวระบุว่า “ผู้ชมกำลังมองหาแนวคิดที่สดใหม่ และสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการผลักดันแนวคิดของสิ่งที่จะเป็นไปได้ มากกว่าจะเป็นการปรับปรุงใหม่ของเนื้อหาที่เคยมีอยู่แล้ว”
ในขณะที่ 71% ของกลุ่มตัวอย่าง ต้องการเนื้อหาที่ผลิตโดยผู้ผลิตที่มีความเป็นอิสระ และผู้สร้างสรรค์รายย่อยมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาต้องการสนับสนุนแก่ผู้ที่เป็น Creator โดยตรงผ่านการชมภาพยนตร์และรายการทีวี จำนวนเปอร์เซนต์ที่ใกล้เคียงกันเป็นตัวบ่งบอกถึงการให้สำคัญในความต้องการความหลากหลายของเนื้อหาที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ 89% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า พวกเขาต้องการเนื้อหาที่หลากหลายกว่านี้ ตั้งแต่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดคลาสสิก เนื้อหา (รายการทีวีหรือมินิซีรีส์) ที่มีซีซันเดียว หรือเนื้อหาแนวอาชญากรรมจากเรื่องจริง (True-Crime)
นอกจากนี้ จากการศึกษาในผลสำรวจเดียวกันยังระบุว่า กลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันส่วนใหญ่ มักสนใจและรับชมเนื้อหาต่าง ๆ เพื่อย้อนรำลึกอดีต (Nostalgia) โดย 96% เปอร์เซนต์ต้องการชมเนื้อหาเก่า ๆ อายุ 10 ปีขึ้นไปที่ได้รับความนิยมและมีความคลาสสิก และรับชมช่วงไหนก็ได้ ตัวอย่างเช่นซิตคอมชื่อดัง ‘The Office’ (2005-2013) หรือ ‘Friends’ (1994-2004) โดย 67% ของกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นมิลเลนเนียล ชื่นชอบในการรับชมเนื้อหาเหล่านี้เนื่องจากพวกเขามองว่าเป็นเนื้อหาที่ ‘คุณภาพดีและมีสไตล์’
ในรายงานฉบับเดียวกันยังได้รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า กลุ่มคน Gen Z 68% หรือ 2 ใน 3 หันมาใช้สตรีมมิงในการรับชมคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับกีฬา เช่นการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา และรายการเกี่ยวกับกีฬามากกว่าจะรับชมผ่านโทรทัศน์ผ่านสัญญาณเคเบิลและดาวเทียมแบบเก่า นอกจากนี้ 71% ยังใช้สตรีมมิงเพื่อเป็นการสันทนาการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลากับตัวเองตามลำพัง หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัวมากขึ้น
นอกจากนี้การสำรวจยังระบุว่า ชาวอเมริกันมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการจ่ายค่าบริการสตรีมมิงและแพ็กเกจทีวี 120 เหรียญต่อเดือน ซึ่งมากกว่าการใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 112 เหรียญต่อเดือน กลุ่มคน Gen Z และมิลเลนเนียล 53% หรือมากกว่าครึ่งเชื่อว่าตนเองใช้จ่ายในการสตรีมมิงมากเกินไป ในขณะที่ 71% โดนยกเลิกบริการเพราะการสมัครสมาชิกแบบระดับขั้นที่บังคับให้พวกเขาต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงเนื้อหาบางอย่าง ซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่เผยว่า พวกเขาพร้อมที่จะยกเลิกสมัครบริการในทันที หากประเมินแล้วว่าไม่พบสิ่งที่ต้องการจะชม และไม่รู้สึกคุ้มค่าที่จะสมัครบริการอีกต่อไป