รางวัลที่โดดเด่นที่สุดในค่ำคืนงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 96 เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็คงหนีไม่พ้นรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ที่ตกเป็นของ คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) นักแสดงหนุ่มหล่อนัยน์ตาสีฟ้าชาวไอริช วัย 47 ปี ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากการแสดงในภาพยนตร์ ‘Oppenheimer’ ที่ตอนนี้เขากลายเป็นความภาคภูมิใจของไอร์แลนด์ไปแล้ว เพราะเขาคือนักแสดงเชื้อชาติไอริชคนแรก ที่ได้รับรางวัลนี้มาครอง
แต่ในช่วงวัยหนุ่มอายุใกล้ ๆ 20 ปี เมอร์ฟียังเป็นที่รู้จักในวงแคบ ๆ ในเมืองคอร์ก (Cork) ประเทศไอร์แลนด์ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา ในฐานะนักแสดงละครเวที และฟรอนต์แมนของวงดนตรีแจ๊สร็อก ‘Sons of Mr Green Genes’ ที่เขาตั้งขึ้นมากับน้องชายและเพื่อน ๆ
แพต เคียร์แนน (Pat Kiernan) อดีตผู้อำนวยการของ คอร์คาดอร์กา เธียร์เตอร์ คอมปานี (Corcadorca Theatre Company) ในเมืองคอร์ก ครูสอนการแสดงของเมอร์ฟี ในฐานะเป็นผู้ที่มอบโอกาสให้เมอร์ฟีได้ก้าวเข้ามาสู่โลกของละครเวที ก่อนจะไต่ความสำเร็จไปถึงผลงานภาพยนตร์ และรางวัลออสการ์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์พูดถึงเกี่ยวกับอดีตลูกศิษย์กับ The Times เพื่อยืนยันว่า สิ่งที่โดดเด่นของเมอร์ฟี ไม่ใช่หน้าตาหรือพรสวรรค์ แต่เป็นความกระตือรือร้นและเอาจริงเอาจังของเขาเองต่างหากที่พาเขามาถึงจุดนี้ได้
เมอร์ฟีและเคียร์แนนเจอกันครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1990 ตอนที่เขาสอนการแสดงละครเวทีที่ Presentation Brothers College ซึ่งเขาเองได้เห็นเมอร์ฟีในฐานะฟรอนต์แมนของวงดนตรีมาบ้างแล้ว และเขาเองก็ประทับใจในความเอาจริงเอาจังของเมอร์ฟีมาตั้งแต่นั้น ต่อมา เมอร์ฟีจึงได้เริ่มเข้ามาร่วมการแสดงในละครเวทีของ Corcadorca อยู่หลายครั้ง 1 ในนั้นก็คือละครเวทีเรื่อง ‘A Clockwork Orange’ ที่เคียร์แนนกำกับ
“มันคือการรับรู้โลกอันน่ารังเกียจผ่านความสัมพันธ์ของดนตรีเต้นรำและยาเสพติด ใน ‘A Clockwork Orange’ เขาเป็นผู้ครอบครองไนต์คลับแห่งนั้นและพยายามเลียนแบบแนวทางนั้น มันเป็นละครเวทีที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ และคิลเลียนก็บอกกับผมในตอนหลังว่า ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้เขาตกตะลึง และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักแสดง”
จุดเปลี่ยนเล็ก ๆ ของเมอร์ฟีในฐานะนักแสดงละครเวทีก็คือ ผลงานการแสดงละครเวทีแนวอาชญากรรม Coming of Age เรื่อง ‘Disco Pigs’ (1996–1998) เคียร์แนนเป็นคนที่แนะนำให้ เอนดา วอลช์ (Enda Walsh) ผู้เขียนบทละครได้รู้จักกับเมอร์ฟีตอนกำลังคัดเลือกนักแสดง แต่ ณ ขณะนั้น เขาเองกลับมองว่าเมอร์ฟีนั้นยังดูไม่ค่อยมีแววในด้านการแสดงมากนัก แต่เขาเองยืนยันได้ถึงความเอาจริงเอาจังที่เป็นพรแสวงของนักแสดงหนุ่ม
“ผมบอกกับเอนดาว่า ‘ผมรู้จักชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูกระตือรือร้นมาก ๆ และผมคิดว่าเขาอาจจะทำได้ดีกับบทนี้’ แต่ผมก็พูดว่า ‘แต่เขาอาจจะดูรุงรังนิดหน่อยนะ’ หมายความว่าภาพลักษณ์ของเขาตอนนั้นดูน่าขัน แต่เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนั้นผมไม่เห็นความงามของชายหนุ่มคนนี้” (หัวเราะ)
ด้วยความเอาจริงเอาจัง การแสดงของเขาในละครเวทีเรื่องนี้โดดเด่นจนได้รับคำชมอย่างล้นหลาม จนทำให้ต้องมีการเปิดรอบการแสดง ที่โรงละคร Triskel Arts Centre in Cork ในทุก ๆ เย็น และได้ออกเดินสายตระเวนแสดงในต่างประเทศตลอด 3 ปีเต็ม และในภายหลังที่มีการนำบทมาดัดแปลงในรูปแบบภาพยนตร์ เมอร์ฟีก็ได้กลับมาแสดงเป็นตัวละครเดิมในหนังที่ฉายในปี 2001 ด้วย
“เอนดาในฐานะมือเขียนบทนั้นยอดเยี่ยมมาก และบทก็ยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องใช้ความพยายาม มันต้องการการดูแล การเอาใจใส่ และทักษะในการแสดง ซึ่งคิลเลียนเองก็เป็นคนที่ฉลาดจริง ๆ แม้จะในวัยแค่นั้น แต่เขาก็ฉลาดมาก และความสามารถในการอุ้มชูตัวละครได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเขาเป็นคนที่ทำงานหนักแค่ไหน”
อดีตครูสอนการแสดงยังได้กล่าวย้ำถึงความเอาจริงเอาจังของศิษย์เอกคนนี้ ที่ทำให้เขามายืนถึงจุดนี้ได้ “เขาเป็นคนที่เชื่อว่าจำเป็นจะต้องมีการค้นคว้า มีการคิด และเขาก็ต้องการเวลาเพื่อสร้างสิ่งที่เขาทำ และเขาก็สามารถปฏิบัติออกมาได้จริง ๆ ตามแนวทางในการทำงานของเขาตั้งแต่ในตอนนั้น และดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังคงใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์ หรือละครเวที ไม่ว่าจะทั้งคอร์คาดอร์กาหรือดรูอิด เขาก็จะคิดอย่างจริงจังเสมอในการรับบท”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เคียร์แนนในฐานะคนที่มอบโอกาสแรกให้กับนักแสดงคนนี้ จะภาคภูมิใจมากแค่ไหนกับเมอร์ฟีที่สามารถก้าวขึ้นเวทีออสการ์ได้ในวันนี้ และการที่เขาได้พูดคุยกับเมอร์ฟีอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เคียร์แนนเล่าว่า ความน่ารักอีกอย่างของเมอร์ฟีก็คือ ในช่วงเวลาที่เขากำลังหาโปรเจ็กต์ละครเวทีใหม่ ๆ แม้เมอร์ฟีจะกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า แต่เขาก็ยังคงติดตามความเคลื่อนไหว และเขาเองก็รอจังหวะที่เคียร์แนนจะเรียกตัวให้เขากลับไปทำงานร่วมกับเขาอีกครั้งเฉกเช่นในอดีต “ผมได้คุยกับเขา 2-3 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และเขาก็บอกว่า ‘ผมไม่โทษคุณหรอก'”
และนั่นยังรวมไปถึงความจริงที่ว่า เมอร์ฟีเองก็ยังคงทำงานหนักโดยไม่หลงไหลได้ปลื้มไปกับชื่อเสียง ในสุนทรพจน์ที่เขากล่าวบนเวทีออสการ์ เขาก็ยังกล่าวด้วยประโยคที่ว่า “ผมเป็นแค่ชาวไอริชคนหนึ่งที่ภาคภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ที่นี่”
“มันเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งสำหรับเขา เขาเดินตามแนวทางการทำงานในแบบของเขาเอง และมันก็พาเขามาถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ แม้ผมจะฟังสุนทรพจน์ออสการ์ของเขาเมื่อคืนก่อนนั้น แต่ผมก็ไม่เห็นความแตกต่างว่าเขาเคยเป็นแบบไหนเมื่อ 20 หรือ 30 ปีที่แล้ว เพราะยังไงเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่น่ารักคนเดียวกันเสมอ”