อั้งลี่ (Ang Lee) ผู้กำกับระดับโลกชาวไต้หวันที่มีผลงานการกำกับภาพยนตร์หลากหลายแนวมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี มีผลงานการกำกับหนังที่เรารู้จักกันมากมาย รวมทั้งเขายังเป็นผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ 3 รางวัล ไล่ไปตั้งแต่หนังกำลังภายใน ‘Crouching Tiger, Hidden Dragon’ (2001) นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของรางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมาแล้วถึง 2 ครั้ง จากภาพยนตร์ ‘Brokeback Mountain’ (2005) และ ‘Life of Pi’ (2013) ที่ได้เข้าชิง 11 รางวัล ชนะ 3 รางวัล
ล่าสุด เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับเว็บไซต์ IndieWire ในวาระที่เขากำลังจะเข้ารับรางวัลกิตติมศักดิ์ จากโรงเรียนสอนศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ และสื่อ Tisch School of the Arts ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่เขาเคยเป็นศิษย์เก่า ในวันที่ 8 เมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งเขาได้มีโอกาสเล่าถึงเบื้องหลังการชวดรางวัลบนเวทีออสการ์ ครั้งที่ 78 ประจำปี 2006 ที่ดันตกเป็นของหนังดราม่าอาชญากรรม ‘Crash’ (2004) ของผู้กำกับ พอล แฮกกิส (Paul Haggis) เรียกว่าเป็นการแบบที่แทบไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน (เพราะดูจะผิดธรรมเนียมของหนังยอดเยี่ยมออสการ์มากเกินไปหน่อย)
แม้ว่าในความเป็นจริง ‘Brokeback Mountain’ หนังคาวบอยเกย์ที่นำแสดงโดย ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) และ เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) จะดูมีภาษีดีกว่าในแง่ของคำวิจารณ์ และรางวัลจากเวทีอื่น ๆ จนกลายเป็นตัวเก็งที่ได้เข้าชิงรางวัลในปีนั้นมากที่สุดถึง 8 สาขา และชนะได้ 3 สาขา ทั้งรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของอั้งลี่, รางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และสาขาดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม แต่กลับชวดรางวัลที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งอั้งลี่มองว่าน่าจะเป็นจากการเลือกปฏิบัติของสถาบันผู้จัดงานในเวลานั้น ที่ต้องการกีดกันเรื่องราวความรักของเกย์ใน ‘Brokeback Mountain’ จนทำให้ชวดรางวัลใหญ่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
เขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ตอนนั้น ‘Brokeback Mountain’ ถือว่าได้เปรียบมากนะครับ เราได้รับการสนับสนุนมากมาย-มากถึงขนาดนั้นน่ะ มันมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ คือผมไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออะไรหรอกนะครับ มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ”
แม้เขาจะยอมรับในจุดนี้ แต่เขาเองก็แอบเล่าเรื่องขำ ๆ ในงานประกาศรางวัลออสการ์ด้วย เพราะด้วยความที่ ‘Brokeback Mountain’ เป็นตัวเก็งเบอร์ต้นของรางวัลสุดท้ายในค่ำคืนวันนั้น โดยได้นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง แจ็ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) ขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ประกาศรางวัล แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ รางวัลนั้นกลับตกเป็นของภาพยนตร์เรื่อง ‘Crash’ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของหลาย ๆ คนในงาน ไม่เว้นแม้แต่นิโคลสัน ที่สามารถมองเห็นสีหน้าช็อกแบบเบา ๆ พร้อมกับอุทานว่า “โว้ว…” ได้หลังจากประกาศชื่อหนัง
“ตอนนั้นผมได้รับรางวัลอีกรางวัล (ผู้กำกับยอดเยี่ยม) ซึ่งเป็นอันดับที่รองลงมาจากรางวัลใหญ่ และผมกำลังจะเดินลงจากเวที ก่อนที่พวกเขา (ผู้กำกับเวที) จะเรียกผม แล้วบอกให้อยู่ตรงนั้นก่อน เขาบอกว่า ‘คุณต้องยืนตรงนั้นนะ นั่นเป็นตำแหน่งของคุณ ทุกคนรู้ว่าคุณจะชนะ เพราะฉะนั้นจำเครื่องหมายตรงนั้นเอาไว้นะ’ และถัดจากผ้าม่านไปตรงนั้นก็คือเวที”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้กำกับเวที คงจะเป็นผู้กำกับเวทีสักคนนั่นแหละครับ เขาบอกว่ามันมีเครื่องหมายติดตรงผ้าม่าน คุณเกือบจะได้เห็นผมตรงผ้าม่านนั่นแล้ว ผมสามารถมองแขกบางคนได้เลย เพราะมันใกล้กันขนาดนั้น เขาบอกว่า ‘เดี๋ยวคุณจะต้องออกไปนะ’ เขาบอกว่า ‘ประจำที่’ และรางวัลต่อไปคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม!”
“ผมอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเลย และผมก็เห็น แจ็ก นิโคลสัน เขาเปิดซองจดหมาย ตอนนั้นผมก็พูดว่า ‘โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า…’ แล้ว 10 วินาทีต่อมา จากนั้นเขาก็ประกาศชื่อหนัง ‘Crash'”
‘Crash’ ภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ สีผิว หน้าที่การงานซึ่งแฮกกิสได้แรงบันดาลใจจากทั้งเหตุการณ์ 9/11 และตอนที่เขาถูกชายผิวดำ 2 คน โจรกรรมรถยนต์ขณะเดินทางไปชมภาพยนตร์ ‘The Silence of the Lambs’ (1991) ซึ่งเขาได้นำอคติ ความโกรธ การเหยียดสีผิว และการทัศนคติเหมารวม มาจินตนาการเป็นเรื่องราวอันหลากหลายที่ค่อย ๆ มาบรรจบกันตอนท้ายเรื่อง ตัวหนังนำแสดงโดย แมตต์ ดิลลัน (Matt Dillon), แซนดรา บูลล็อก (Sandra Bullock), เบรนเดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) และ ลูดาคริส (Ludacris)
แม้ ‘Crash’ จะได้รับคำวิจารณ์ในระดับค่อนข้างดีพอสมควร และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 6 สาขา และแม้หนังเรื่องนี้จะได้ชื่อว่าเป็น Best Picture แต่ก็นับได้ว่าเป็น Best Picture ที่ถูกลืมอย่างสิ้นเชิงในเวลาต่อมา และกลายมาเป็นข้อถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ว่า หนังเรื่องนี้เหมาะสมแค่ไหนที่ (กล้าปาดหน้า ‘Brokeback Mountain’) คว้ารางวัลไป
ในปี 2014 นิตยสาร Film Comment ได้จัดอันดับให้ ‘Crash’ เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ที่แย่ที่สุด รองจาก ‘Slumdog Millionaire’ (2008) และ ‘Chicago’ (2002) และยังติดลิสต์เดียวกันนี้ในสื่อหลายหัว ชนิดที่ว่าจัดอันดับกี่ครั้ง ก็จะต้องมีหนังเรื่องนี้ประดับลิสต์ด้วยเสมอ แม้แต่ตัวของผู้กำกับอย่างแฮกกิสเองก็เคยให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ในปี 2015 ว่า
“‘Crash’ เป็นหนังที่ดีที่สุดของปีไหม ? ผมเองไม่คิดอย่างนั้นนะ มีหนังยอดเยี่ยมในปีนั้น ทั้ง ‘Good Night, and Good Luck’, ‘Capote’ ก็เป็นหนังที่น่าทึ่ง ‘Brokeback Mountain’ ของอั้งลี่ก็ดีมาก แถมยังมี ‘Munich’ ของ (สตีเวน) สปีลเบิร์กอีก เป็นปีที่สุดยอดมาก ๆ “
“มันเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุ หรือด้วยเหตุผลบางอย่าง มันส่งผลกระทบต่อผู้คน และคุณก็ไม่ควรไปตัดสินหนังแบบนั้น ผมเองยินดีอย่างมากที่ได้รับรางวัลออสการ์ มันเป็นสิ่งที่น่ารัก แต่คุณไม่ต้องมาถามผมหรอกว่าหนังเรื่องไหนดีที่สุดแห่งปี เพราะผมคงไม่โหวตให้ ‘Crash’ เพราะผมได้เห็นความเป็นศิลปะที่อยู่ในหนังเรื่องอื่น ๆ “
อั้งลี่เล่าทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมา เขาคุ้นชินกับการชวดรางวัลออสการ์ เพราะหนังที่เขากำกับมักจะเล่าเรื่องของคนนอก ซึ่งอาจไม่ตรงจริตกับแนวทางของสถาบันในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกย์ใน ‘Brokeback Mountain’ และงานหนังจีนกำลังภายในแบบ ‘Crouching Tiger, Hidden Dragon’ แม้ว่าในตอนนั้นจะเริ่มมีกระแสความหลากหลายเข้ามา แต่ทิศทางของสถาบันก็ยังคงเต็มไปด้วยมุมมองของความเป็นชายและคนผิวขาวอยู่ดี
และที่ผ่านมา เขาก็ได้ถ่ายทอดความเป็นคนนอก จากเขาเองที่อพยพตามพ่อแม่จากจีนไปไต้หวันเพราะหนีสงครามกลางเมือง ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา เพื่อเรียนปริญญาตรี และย้ายไปนิวยอร์กเพื่อเรียนต่อด้านภาพยนตร์
“ผมถูกสอนด้วยความคิดที่ว่าศิลปะไม่ใช่ทางเลือกครับ การทำหนังเป็นอะไรที่โคตรบ้า ผมเป็นคนนอกในไต้หวัน จากนั้นก็ไปเป็นคนนอกในอเมริกา แล้วก็กลับไปจีนก็ยังเป็นคนนอก ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกอยู่เสมอ ผมจึงคิดว่า เรื่องราวของตัวละครที่ต้องอดทนอดกลั้นนั้นเป็นอะไรที่ดึงดูดผม”
“และ ‘Brokeback Mountain’ มันก็สวยงามมาก ผมได้อ่านเรื่องสั้นแล้ว ผมไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคาวบอยเกย์ในไวโอมิงเลยนะ แต่ทำไมผมถึงร้องไห้ ? ทำไมมันถึงติดอยู่ในใจผม เพราะมันมีเรื่องราวที่สวยงามอยู่ในนั้นครับ”