Forbes ได้เปิดเผยรายงานว่าสุดว่า ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ใช้ทุนสร้างสุทธิไปมหาศาลถึง 387.2 ล้านเหรียญ โดยเป็นค่าทำโพสต์โปรดักชันเมื่อต้นปี 2023 สูงถึง 79 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 384 ล้านเหรียญ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวด้านรายได้ครั้งใหญ่ของ Disney อย่างแท้จริง
แม้ว่าจะได้รับการลดหย่อนภาษีจากการถ่ายทำาภาพยนตร์ในสหราชอาณาจักร แต่ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในแฟรนไชส์ ‘Indiana Jones’ นี้ ก็ทำให้ Disney ขาดทุนไปถึง 134.2 ล้านเหรียญ โดยยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดและรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในลิขสิทธิ์ของแฟรนไชส์แต่อย่างใด
The Numbers ได้รายงานว่า ด้วยทุนสร้างอันมหาศาลถึง 387.2 ล้านเหรียญนั้น ทำให้ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ แซงหน้า ‘Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides’ (2011) ที่ใช้ทุนสร้าง 379 ล้านเหรียญ ขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลลำดับที่ 3 รองจาก ‘Avengers: Endgame’ (2019) และ ‘Avatar: The Way of Water’ (2022) ที่ใช้ทุนสร้างไป 400 ล้านเหรียญ และ 460 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
ด้วยการทุ่มงบอย่างมหาศาลนั้น แสดงเห็นให็นว่า Disney มั่นใจในแฟรนไชส์ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีนี้อย่างเต็มที่ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ชมรุ่นใหม่ไม่สนใจแฟรนไชส์นี้อีกต่อไป โดย ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ นั้น ได้รับคำวิจารณ์แบ่งเป็น 2 ฝ่ายมาโดดยตลอด ตั้งแต่ฉายฉายรอบพรีเมียร์ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival) โดยนักวิจารณ์บางส่วนชื่นชอบบรรยากาศแบบดั้งเดิมของภาพยนตร์ ในขณะที่บางส่วนไม่รู้สึกสนุก และมองว่าขาดเสน่ห์ที่ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ทำไว้ได้ดีใน 4 ภาคแรก
นั่นส่งผลให้ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ได้คะแนนวิจารณ์บน Rotten Tomatoes ไป 70% แต่ได้คะแนนจากผู้ชมสูงถึง 88%