Variety ได้รายงานว่า Warner Bros. ได้แสดงความเห็นว่า การต้องเสีย คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ไป เป็นสิ่งที่แย่มาก เพราะหลังจากแยกทางกับสตูดิโอแล้วนั้น โนแลนได้สร้าง ‘Oppenheimer’ (2023) ซึ่งเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเขา
ทั้งนี้ Warner Bros. ได้ย้ำชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้มีดีลแย่ ๆ แบบนี้ระหว่างสตูดิโอกับผู้สร้างหรือนักแสดงฝืมือดีคนอื่น ๆ เกิดขึ้นอีก
โนแลนได้แสดงความเห็นแย้งต่อกลยุทธิ์ทางการตลาดใหม่ของ Warner Bros. ที่ต้องการนำภาพยนตร์ใหม่ รวมถึง ‘Tenet’ (2020) ของโนแลน เข้าฉายบนบริการสตรีมมิง HBO Max พร้อมกับการฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งทำให้โนแลนตัดสินใจแยกทางกับ Warner Bros. ในปี 2021 ภายหลังจากร่วมงานกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ ‘Insomnia’ (2002) ผลงานกำกับเรื่องแรก ๆ ของโนแลน และย้ายไปร่วมงานกับ Universal Pictures ในเวลาต่อมา
ท้ายที่สุด โนแลนได้สร้าง ‘Oppenheimer’ ซึ่งทำเงินทั่วโลกไปเกือบ 1,000 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ และคว้ารางวัลออสการ์มาครองถึง 7 สาขา รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม (โนแลน) ด้วย จากการเข้าชิงทั้งสิ้น 13 สาขา
‘Oppenheimer’ ยังกวาดรางวัลจากสถาบันอี่นอีกมากมาย เช่น Golden Globes, BAFTA, Critics Choice, Directors Guild of America และ Screen Actors Guild เป็นต้น
นอกจากนี้ ‘Oppenheimer’ ยังทำให้ Universal Pictures เป็นผู้ชนะเหนือคู่แข่งอย่าง ‘Barbie’ (2023) ของ Warner Bros. ที่ถึงแม้ว่าจะทำรายได้ทั่วโลกไป 1,446 ล้านเหรียญ แต่คว้ารางวัลออสการ์มาได้เพียงสาขาเดียว นั่นคือ เพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากการเข้าชิงทั้งสิ้น 8 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพ้ให้กับ ‘Oppenheimer’
อย่างไรก็ดี โนแลนได้เปิดเผยกับ Variety ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเขาเองก็ยังเปิดโอกาสและยินดีที่จะกลับไปร่วมงานกับ Warner Bros. อีกครั้ง
ในปี 2024 นี้ Warner Bros. ได้เซ็นสัญญาใหญ่กับ 2 นักแสดงชื่อดังอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ที่ประสบความสำเร็จจาก ‘Top Gun: Maverick’ (2022) และ ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) ที่ประสบความสำเร็จกับ ‘Wonka’ และ ‘Dune: Part Two’ (2024) เพื่อให้นักแสดงทั้ง 2 คน มีส่วนร่วมทั้งในด้านการแสดงนำและอำนวยการสร้างโปรเจกต์ใหม่ของสตูดิโอ