‘The Place Beyond the Pines’ (2012) หนังดราม่าอาชญากรรมน้ำดี ผลงานการกำกับของ เดเร็ก เซียนฟรานซ์ (Derek Cianfrance) ที่แม้จะไม่ค่อยมีใครพูดถึงในวงกว้าง แต่หนังนอกกระแสเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่น่าสนใจตั้งแต่พล็อตที่ว่าด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวพันและเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และหนังเรื่องนี้เกือบจะเป็นหนังเรื่องแรกที่ค่าย Distributor หนังน้องใหม่ A24 Films (หรือค่าย A24 ในปัจจุบัน) ที่อยากได้หนังเรื่องนี้แต่กลับชวดให้ค่าย Focus Features เป็นผู้จัดจำหน่ายให้แทน
เรื่องราวเริ่มต้นจาก ลุค แกลนตัน นักแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากที่พบว่าตัวเองมีลูกกับอดีตคนรัก เขาจึงต้องการจะทวงความเป็นพ่อคน ด้วยการหาเงินมาเลี้ยงลูก แต่โชคชะตาดันพาให้เขากลายเป็นอาชญากรปล้นธนาคาร และเรื่องราวของ เอเวอรี ครอส ตำรวจมือใหม่ไฟแรงที่กลายมาเป็นฮีโรหลังต่อสู้กับผู้ร้าย แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาทำจะยังคงตามหลอกหลอน และในที่สุดโชคชะตาก็นำพาให้ลุค โจรปล้นธนาคาร และเอเวอรี ตำรวจตงฉินมาพบกันในวันหนึ่ง
ตัวหนังมีดีทั้งคำวิจารณ์ แถมหน้าหนังถือว่าไม่เลว เพราะมีนักแสดงทั้ง ตั้งแต่ ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ที่เคยทำงานกับเซียนฟรานซ์มาแล้วใน ‘Blue Valentine’ (2010) ที่จะกลายมาเป็นนักแสดงดาวรุ่งของยุคนี้, อีวา เมนเดส (Eva Mendes) นักแสดงสาวที่จะกลายมาเป็นภรรยาของกอสลิงในเวลาต่อมา รวมทั้ง แบรดลีย์ คูเปอร์ (Bradley Cooper) นักแสดงมากฝีมือที่เพิ่งจะมีผลงานการเขียนบท กำกับ และแสดงหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง ‘Maestro’ (2023)
แต่หนังอินดี้เรื่องนี้เคยเกือบจะไม่ได้คูเปอร์มาร่วมแสดงแล้ว เซียนฟรานซ์ ผู้กำกับและเขียนบทได้เปิดเผยในการบันทึกการสัมภาษณ์ผ่านทางพอดแคสต์ของ IndieWire ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า คูเปอร์เคยเกือบจะถอนตัวออกจากบทบาทตำรวจผู้มีบาดแผลในใจคนนี้ไปแล้ว หลังจากที่เขาได้อ่านบทอัปเดตที่เขาส่งให้ ดาเรียส มาร์เดอร์ (Darius Marder) ผู้กำกับ เขียนบท และคิด Story ร่วมกับ เซียนฟรานซ์ในหนังดราม่ามือกลอง ‘Sound of Metal’ (2019) ของ Amazon Studios
มาร์เดอร์ได้เข้ามาช่วยแก้ไขบทด้วยการปรับบท ‘The Place Beyond the Pines’ ใหม่ทั้งหมด และเซียนฟรานซ์ก็ได้นำบทฉบับอัปเดตหมดจดนี้ไปให้คูเปอร์ได้อ่าน แต่คูเปอร์กลับไม่พอในในบทที่มีการปรับแก้ไขคาแรกเตอร์ตัวละครของเขา โดยเฉพาะฉากที่เอเวอรียิงสังหารลุค จนกลายมาเป็นตราบาปในชีวิตของเขาเอง จนทำให้คูเปอร์ตัดสินใจถอนตัวจากหนังเรื่องนี้
“ผมได้ให้บท (ฉบับของมาร์เดอร์) ไปแล้ว ซึ่งเขา (มาร์เดอร์) มีข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับบทฉบับนั้น และผมเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดอยู่มาก ดังนั้นเราจึงลงมือแก้บทใหม่ทุกคำในช่วง 6-10 สัปดาห์ก่อนเปิดกล้อง ผมจำได้ว่าผมให้สำเนาบทกับ แบรดลีย์ คูเปอร์ แล้วผมก็ได้รับข้อความจากเขาว่า ‘พี่ แค่จะบอกให้รู้นะว่า ผมอ่านดราฟต์ใหม่แล้วนะครับ และผมขอถอนตัว’ อารมณ์เขาประมาณว่า ‘มันไม่ใช่หนังที่เขาเซ็นสัญญาเข้ามาเล่น’ อะไรแบบนี้น่ะครับ”
ความสำคัญของคูเปอร์ในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะการได้นักแสดงมีชื่อมาอยู่ในหนัง (และทำให้สตูดิโอยอมเพิ่มงบให้ตามชื่อเสียง) เพียงเท่านั้น เซียนฟรานซ์เคยให้สัมภาษณ์ถึงความสำคัญของคูเปอร์ที่เขาค้นพบและตัดสินใจเลือกให้มารับบทนี้ ถึงขนาดที่ว่าถ้าคูเปอร์ถอนตัว เขาเองก็ยอมล้มเลิกไม่ทำหนังเรื่องนี้ต่อเช่นกัน
“ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่เป็น Sexiest Man Alive (ผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุด) ของนิตยสาร People (ปี 2011) แต่เขากลับดูเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำอยู่ในตัวเขา ผมตกใจมาก มันมีอะไรที่บิดเบี้ยวอยู่ในตัวเขา ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับเขาได้ เมื่อผมได้ทำงานกับเขาเป็นการส่วนตัว ประสบการณ์ทำหนัง 12 ปีในฐานะนักเขียนบท ผมมักจะพยายามลอกเปลือกนอกแล้วเข้าไปอยู่ในที่ที่ละเอียดอ่อนที่สุด ผมพยายามจะเข้าไปในจุดที่ผมรู้สึกอ่อนแอที่สุด และผมก็พยายามทำแบบนั้นไปพร้อมกับนักแสดงด้วย ผมแบ่งปันความลับกับพวกเขา ผมเก็บความลับของพวกเขา และในการพบกับแบรดลีย์ ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นญาติกับเขา”
“ตัวละคร (เอเวอรี) เป็นตัวละครที่ซื่อสัตย์มาก แต่ก็ซับซ้อนและขัดแย้งทางศีลธรรมด้วย บทแบบนี้มันเสี่ยงมาก ผมบอกเขาว่า ผมจะไม่ทำหนังที่เกี่ยวกับเขา หลาย ๆ คนอยากเข้ามาแสดง แต่ผมเลือกแบรดลีย์แล้ว ผมบอกเขาว่าผมจะไม่กำกับหนังหากไม่มีเขา มันคล้ายกับมิเชล (มิเชล วิลเลียมส์, Michelle Williams) ใน ‘Blue Valentine’ เธอกำลังจะถอนตัวเมื่อเราทำหนังไปอย่างผิดทิศทาง ผมจึงต้องทำงานหนักมากเพื่อต้องการอยากจะรักษาเธอไว้ และมันก็ได้ผล ผมคิดแบบเดียวกันกับแบรดลีย์ในเรื่องนี้ ผมเลยทำแบบเดียวกัน”
“โดยพื้นฐาน นี่คือตัวละครที่กลายเป็นฮีโรและผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุด แต่ภายในตัวเขามีความขัดแย้งที่โหมกระหน่ำอยู่ภายใน มีความรู้สึกผิดและอับอายที่ซ่อนไว้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมรู้สึกว่าน่าสนใจ ที่จะทำให้ผู้ชมเห็นว่าผมรู้สึกอย่างไร ตอนผมพบเขาครั้งแรก มันมีอะไรที่มากกว่าการปรากฏตัวของฮีโรผู้งดงามของอเมริกา”
“จากนั้นผมก็ได้รับข้อความ เขาบอกว่าเขาเล่นหนังเรื่องนี้ไม่ได้อีก ผมเลยโทรตรงตอนที่เขาทำงานในกองถ่ายหนัง ‘The Words’ (2012) ในมอนทรีออลเพื่อไปกินข้าวเย็นกับเขาตอน 4 ทุ่ม” และในที่สุด ผู้ชมก็ได้เห็นการแสดงอันเจ็บปวดของเขาตามที่ผู้กำกับปรารถนาได้ในที่สุด
“ผมกำลังจะย้ายครอบครัวไปที่เมืองสเกเน็กทาดี (Schenectady) นิวยอร์กในวันรุ่งขึ้น (เพื่อเปลี่ยนโลเกชันถ่ายทำ) และทีมงานทั้งหมดก็จะตามขึ้นมาด้วย ผมบอกเขาว่า ‘ผมขอไปคุยกับคุณหน่อยได้ไหม’ ผมเลยต้องขึ้นไปที่มอนทรีออล และผมก็ได้สนทนากับเขานานมาก ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 3.30 น. ในตอนเช้า ซึ่งในที่สุดผมก็พาเขากลับมาได้ ตอนที่ผมโน้มน้าวเขามันเป็นช่วงเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้นเองนะ ผมคิดว่าเขาคงเหนื่อยน่ะ คงอยากจะนอนแล้ว”