ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในรอบปีที่ผ่านมาถือเป็นอีก 1 ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชีวิตการเป็นนักแสดงของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ที่เพิ่งจะคว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกจากหนัง ‘Oppenheimer’ (2023) หรือแม้แต่การรับบท โทนี สตาร์ก (Tony Stark) หรือ ไอรอนแมน (Iron Man) ในหนัง ‘Iron Man’ (2008) ของ Marvel Studios ที่เปลี่ยนชีวิตเขาให้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าที่ได้รับการยอมรับอย่างงดงาม
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเคยต้องประสบกับความเหลวแหลกจากปัญหายาเสพติดที่พาให้เขาดำดิ่งจนแทบจะกู่ไม่กลับ จากนักแสดงวัยรุ่นหน้าใส กลายเป็นนักแสดงติดยาขี้คุกที่ถูกฮอลลีวูดหลงลืม ซึ่งการที่เขาสามารถเอาชนะและหันหลังให้กับทางเสื่อมของชีวิตได้อย่างถาวร นอกจากจะด้วยวินัยที่อยากเปลี่ยนชีวิตอย่างจริงจัง ส่วนหนึ่งก็คงต้องยกให้กับคนรอบข้างที่เห็นถึงพรสวรรค์และความสามารถที่คอยสนับสนุนให้เขากลับมามีทุกวันนี้ได้
ซึ่ง 1 ในคนที่พูดถึงบ่อย ๆ เวลาพูดถึงเรื่องของ ดาวนีย์ จูเนียร์ ก็คงหนีไม่พ้น เมล กิบสัน (Mel Gibson) นักแสดง ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่ของฮอลลีวูดวัย 68 ปี ที่นับว่าเป็นคนแรก ๆ ที่ได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วยการหางานแสดงหนังให้ เพื่อให้เขากลับมามีที่ยืนเล็ก ๆ ในฮอลลีวูดได้อีกครั้ง และในยามที่กิบสันต้องเผชิญกับภาวะตกต่ำ หลังจากที่เขาถูกฮอลลีวูดแบน ทั้งจากกรณีเมาแล้วขับ และกรณีที่เขาพูดดูหมิ่นผู้หญิงและชาวยิว ก็เป็นดาวนีย์ จูเนียร์ที่ใช้เวทีมอบรางวัลในการเรียกร้องให้ฮอลลีวูดเลิกแบนเขาได้แล้ว
ในฐานะที่ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้มีโอกาสขึ้นหน้าปกนิตยสาร Esquire ฉบับล่าสุด นอกจากจะมีบทสัมภาษณ์ล่าสุดของตัวเขาเองแล้ว ก็ยังมีบทสัมภาษณ์แทรกสั้น ๆ เกี่ยวกับคนรอบ ๆ ตัว ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือกิบสัน เพื่อนสนิทร่วมอาชีพของเขาที่พบกันครั้งแรกในหนัง ‘Air America’ (1990) และกลายมาเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือและตอบแทนกันอย่างน่าประทับใจ ซึ่งกิบสันเองยังคงรักและระลึกถึงเพื่อนยากคนนี้ที่เคยพูดยอมให้อภัยแก่เขา
“ครั้งหนึ่ง ผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่ทำให้อาชีพการงานของผมต้องจบลง ผมเมาอยู่บนหลังรถตำรวจ แล้วก็พูดเรื่องไร้สาระออกไป และทันใดนั้นผมก็ติดบัญชีดำ ผมกลายเป็นบุคคลตัวอย่างที่โดนแบนไปแล้ว”
หลังจากที่ทั้งคู่ร่วมแสดงใน ‘Air America’ กิบสันยังคงเป็นนักแสดงที่กำลังจะรุ่งโรจน์ในวงการ งานแสดงของเขาก็เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในขาขึ้น พอเขาเริ่มหันมาทำงานเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ก็ยิ่งพุ่งกวาเดิม หนังดราม่าประวัติศาสตร์ ‘Braveheart’ (1995) ที่เขาทั้งแสดงนำและกำกับ กลายเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคว้า 5 รางวัลจากเวทีรางวัลออสการ์ครั้งที่ 68 ประจำปี 1996 ส่วนดาวนีย์ จูเนียร์ แม้จะมีชื่อเสียงพอสมควร เพราะเคยได้เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายจาก ‘Chaplin’ (1992) จนเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงวัยรุ่น แต่ด้วยปัญหายาเสพติดที่เริ่มจะพาเขาถลำลึกมากขึ้นทุกที
จนกระทั่งปี 1996 เขาถูกจับกุมในข้อหาหลบหนีการจับกุม และข้อหาครอบครองเฮโรอีน โคเคน และอาวุธปืนเถื่อน .357 ชีวิตของเขาก็เริ่มวนเวียนอยู่กับศาล สถานบำบัด และเรือนจำ ดาวนีย์ จูเนียร์ วัย 30 ปีกลายเป็นดาราที่มีแต่ข่าวฉาวเสีย ๆ หาย ๆ กลายเป็นนักแสดงขี้ยาติดคุกที่ถูกฮอลลีวูดแบน หนังและซีรีส์หลายเรื่องต่างพากันถอดเขาออกจากบทบาทการแสดง จนทำให้ชื่อของเขาในช่วงปี 1996-2001 แทบจะหายไปจากวงการ แม้เขาจะได้ถ่ายทำซีรีส์ ‘Ally McBeal’ (1997 – 2002) ของช่อง Fox ไปแล้ว แต่สุดท้ายโปรดิวเซอร์ก็สั่งไล่เขาออก ทำการแก้บทของเขาออกไป และทำการถ่ายซ่อมใหม่ทั้งหมด
แต่ก็มีแค่เพื่อนซี้อย่างกิบสัน ที่ยังคงเห็นศักยภาพและพรสวรรค์ของนักแสดงหนุ่ม และหยิบยื่นโอกาสด้วยการมอบบทหนัง ‘The Singing Detective’ (2003) ภาพยนตร์มิวสิคัลสืบสวนสอบสวน ที่เขาซื้อลิขสิทธิ์มาทำเป็นหนัง และรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ลองอ่าน แถมเขาเองยังตัดสินใจวางเงินประกันเพื่อรับรองความประพฤติของเขาด้วย แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็เหมือนเป็นการแสดงให้ฮอลลีวูดได้เห็นว่า อดีตนักแสดงขี้ยาคนนี้พร้อมที่จะปรับปรุงตัวและกลับมาใช้พรสวรรค์ในด้านการแสดงของเขาให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
“คือตอนนั้นน่ะ ทุกคนต่างก็กาหัวเขากันหมดแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทนดูได้ยากมาก เพราะเขาเป็นคนที่โคตรเก่งเลย เขาแค่แพ้ภัยตัวเองน่ะ แต่ใครมันจะไปสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างกันล่ะ พระเจ้า ขนาดผมยังมีข้อบกพร่องมากกว่าเขาซะอีก!”
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะกิบสันยังเป็นคนที่พาเขาไปฝากฝังให้ร่วมแสดงนำในหนังสยองขวัญ ‘Gothika’ (2003) และพาไปรู้จักกับ เชน แบล็ก (Shane Black) มือเขียนบท ‘Lethal Weapon’ ที่กิบสันแสดง ที่กำลังจะลงมือกำกับหนังนีโอนัวร์ตลกร้าย ‘Kiss Kiss Bang Bang’ (2005) ก็ยิ่งทำให้ ดาวนีย์ จูเนียร์ เริ่มมีเส้นทางชัดเจนในสายหนังนอกกระแสมากขึ้น รวมทั้งเขายังฝากฝังให้ร่วมแสดง ก่อนจะเปลี่ยนชีวิตด้วยบทบาท โทนี สตาร์ก ใน ‘Iron Man’ (2008) ของ Marvel Studios จนตอนหลัง ดาวนีย์ จูเนียร์ ก็เป็นคนที่เลือกให้แบล็กมากำกับ ‘Iron Man 3’ (2013) เป็นการตอบแทน
ในขณะที่ชีวิตของดาวนีย์ จูเนียร์กลับมาขาขึ้น ชีวิตของกิบสันก็กำลังดิ่งลงเหมือนกระดานหก เดือนกรกฏาคม ปี 2006 กิบสันที่มีประวัติอาการติดสุราเรื้อรัง ถูกตำรวจจับกุมบนถนนมาลิบู ลอสแองเจลิสด้วยข้อหาเมาแล้วขับ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินเกณฑ์ที่กฏหมายกำหนดเพราะยังมีขวดเตกิลาที่เปิดอยู่ในรถ แต่ที่หนักก็คือ กิบสันในอาการเมามาย และถูกใส่กุญแจมืออยู่ในรถตำรวจ กลับตะโกนคำด่าทอหยาบคายออกมา
แต่มันจะไม่เดือดร้อนอะไรถ้าเขาไม่แสดงออกถึงความเกลียดชังด้วยการตะโกนด่าผู้หญิง และด่าชาวยิวด้วยถ้อยคำรุนแรง ข่าวรายงานถึงเสียงของเขาที่บันทึกได้ว่า “…ไอ้เหี้-พวกยิว! พวกยิวมึ-ต้องรับผิดชอบกับสงครามทั้งหมดในโลกนี้! พวกมึ-เป็นคนยิวหรือเปล่า ? …” แม้เขาจะออกมาขอโทษแล้ว แต่อดีตของเขายังถูกขุด เมื่อ วิโนนา ไรเดอร์ (Winona Ryder) ได้ออกมาแฉพฤติกรรมของกิบสันว่า เคยพูดจาดูหมิ่นเธอที่เป็นชาวยิว และเพื่อนที่เป็นเกย์ของเธอ และนับจากนั้นเขาเองก็ถูกฮอลลีวูดแบนจนชื่อของเขาเงียบหายไปจากกระแสข่าวบันเทิง
และแน่นอนว่า คนที่กลับมาช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาอันตกต่ำก็คือ ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่มีข่าวออกมาว่า เขาเป็นคนเสนอให้กิบสันเข้ามากำกับ ‘Iron Man 3’ รวมทั้งเคยเสนอบทบาท ธานอส (Thanos) ให้เขา แต่ผู้บริหารหลายคนกลับไม่เห็นด้วย ซึ่งว่ากันว่าอาจเป็นเพราะความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ตรงกัน หรือเป็นสะเก็ดแผลที่เขาเคยดูถูกชาวยิวที่ทำให้ต้องแยกทางกันไปในที่สุด
จนกระทั่งปี 2011 ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้มีโอกาสขึ้นรับรางวัล American Cinematheque Awards ประจำปี 2011 และแม้ว่าตัวเขาเองจะมีเชื้อสายยิว แต่ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เวลานี้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าเจ้าของบทซูเปอร์ฮีโรที่โด่งดัน กลับเลือกที่จะใช้โอกาสของตัวเองด้วยการเชิญให้กิบสันมาเป็นผู้มอบรางวัลให้กับเขา และหลังจากรับรางวัล เขาได้ใช้โอกาสในการกล่าวถ้อยความเพื่อเรียกร้องให้ฮอลลีวูดให้อภัยแก่นักแสดงรุ่นพี่คนนี้
“ผมขอให้เมลมาเป็นคนมอบรางวัลนี้ให้กับผม ด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนที่ผมควบคุมสติไม่ได้ เขาเป็นคนที่บอกกับผมว่า อย่าสิ้นหวัง และสนับสนุนให้ผมได้ค้นพบในศรัทธาของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องศรัทธาในตัวเขาหรือใครก็ตาม ตราบใดที่มันมีรากฐานมาจากการให้อภัย ไม่มีใครที่จ้างผมเลย แต่เขาก็ยังเลือกให้ผมรับบทนำในหนังที่พัฒนามาเพื่อเขา… “
“สิ่งที่ผมจะตอบแทนเขาได้ก็คงเป็นวิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นในโอกาสอันพิเศษนี้ ผมขอให้คุณให้อภัยกับเขา เว้นแต่ว่าคุณจะไม่มีบาปในชีวิต ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมว่าคุณแม่-อยู่ผิดอุตสาหกรรมแล้วล่ะ ดังนั้น คุณควรจะยกโทษให้เขา และปล่อยให้เขาได้ทำงาน เสนอบทดี ๆ ให้เขาได้ทำงานเหมือนกับที่คุณเสนอให้ผม ช่วยให้เขาได้สานต่อผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาที่จะเป็นงานศิลปะของเราได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกละอายใจเถอะ”
แม้จะเป็นความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ แต่นั่นก็ทำให้เขาที่หายหน้าจากวงการ เริ่มกลับมามีผลงานทีละเล็กน้อย 1 ในนั้นก็คือ ‘Hacksaw Ridge’ (2016) หนังสงครามผลงานกำกับของเขาที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 สาขา รวมทั้งเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และกิบสันยังได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกครั้ง ก่อนจะคว้า 2 รางวัลจากงานเบื้องหลังจากการตัดต่อ และบันทึกเสียงยอดเยี่ยม
กิบสันปิดท้ายด้วยการพูดถึงเหตุการณ์ที่นักแสดงคนดัง ได้ใช้โอกาสของเขาบนเวทีในการพูดเพื่อโน้มน้าวให้ฮอลลีวูดให้อภัยเขาในครั้งนั้นว่า
“…และ 2-3 ปีหลังจากนั้น เขาก็ชวนผมไปมอบรางวัลที่เขากำลังจะได้รับ ชีวิตของเราทั้ง 2 คนนี่เหมือนกระดานหกเหมือนกันนะ ถ้าเขาอยู่ข้างล่าง ผมก็อยู่ด้านบน ถ้าเขาอยู่ข้างบน ผมก็จะตกลงมาข้างล่าง แล้วตอนนั้นตัวผมเองแทบจะไม่มีตัวตนในฮอลลีวูดเลย แต่เขาก็เป็นคนที่ลุกขึ้นพูดแทนผม มันเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความใจกว้าง กล้าหาญ และจิตใจดีจริง ๆ และผมก็รักเขาในจุดนั้นแหละ”