แม้ว่า จอห์น ซีนา (John Cena) แอ็กชันสตาร์กล้ามล่ำ และอดีตนักมวยปล้ำ WWE วัย 46 ปี จะเพิ่งเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวคนซิ่งในแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ ได้เพียงแค่ 2 ภาค โดยซีนาเข้ามารับบทเป็น เจคอบ โทเร็ตโต น้องชายผู้ห่างเหินของ โดมินิก โทเร็ตโต
ซึ่งแฟน ๆ น่าจะจำได้ว่า บทของเจคอบทั้ง 2 ภาคช่างเป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างกับคนละคน ใน ‘F9’ (2021) หรือ ‘Fast 9’ เจคอบเป็นน้องชายมาดนิ่งที่มีปมเรื่องเกี่ยวกับการตายของพ่อ เลยหันหลังให้ครอบครัวแล้วไปสมคบคิดกับแก๊งวายร้าย
ส่วนในภาค 10 อย่าง ‘Fast X’ (2023) หลังจากที่โดนหักหลัง เจคอบก็หันกลับมาสู่ครอบครัว เปลี่ยนลุคเป็นคุณอาตลก ๆ ที่ต้องรับหน้าที่ปกป้องหลานชายอย่าง ลิตเติล บี หรือ ไบรอัน โทเร็ตโต ลูกชายของดอมที่ตกเป็นเป้าหมายของวายร้าย ดันเต้ เรเยส ที่ต้องการให้ดอมเจ็บปวดทรมาน ก่อนที่เขาจะยอมสละชีพตัวเองเพื่อปกป้องหลานชายเอาไว้ ส่วนอาเจคอบจะได้ฟื้นคืนชีพ (ตามสูตรหนังชุดนี้) หรือไม่ คงต้องรอ ‘Fast’ ภาค 11 ที่มีกำหนดฉาย 4 เมษายน 2025
แม้จะเป็นนักแสดงที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานใน 2 ภาคท้าย ๆ (ถ้าภาคต่อไปจะเป็นภาคสุดท้ายจริง ๆ ) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็ย่อมพบเห็นร่องรอยความบาดหมางที่เกิดขึ้นของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแฟรนไชส์ ทั้ง วิน ดีเซล (Vin Diesel) นักแสดงนำและโปรดิวเซอร์ของแฟรนไชส์ และ ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) ผู้รับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลุค ฮอบบ์ส ที่เริ่มส่งกลิ่นเกาเหลามาตั้งแต่ช่วงถ่ายทำ ‘Fast 8’ หรือ ‘The Fate of the Furious’ (2017) แล้ว
ในตอนล่าสุดของพอดแคสต์ ‘Armchair Expert with Dax Shepard’ ซีนาได้มีโอกาสเล่าถึงข่าวลือความแตกหักที่เกิดขึ้นระหว่างดีเซลและจอห์นสัน ซึ่งแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเหมือน ‘เสือ’ และ ‘สิงห์’ ของแอ็กชันสตาร์จอมระห่ำที่มาอยู่ร่วมเฟรมในหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์แห่งยุคได้อย่างเหมาะสมสุด ๆ แต่ที่ผ่านมา ทั้งคู่กลับเป็นคู่นักแสดงที่มีกระแสข่าวดราม่าระหองระแหง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมาตลอด ตั้งแต่ที่พวกเขาร่วมงานกันครั้งแรกใน ‘Fast Five’ (2011)
โดยซีนาได้กล่าว (เหมือนจะ) ยืนยันถึงดราม่าที่เกิดขึ้นว่า “มันมีข่าวลือที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนครับ ผมจะปฏิเสธว่ามันไม่มีก็คงไม่ใช่ มันเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยผู้ชายแบบ Alpha 2 คนอยู่น่ะ ตอนนี้มันมีอยู่ 2 คน ที่จริง ๆ แล้วควรจะมีได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น”
จอห์นสันได้เข้ามาร่วมแสดงในแฟรนไชส์นี้ในหนังภาคหลัก 5 ภาค ตั้งแต่ ‘Fast Five’ จนถึง ‘Fast 8’ และสปินออฟ ‘Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw’ (2019) ความบาดหมางเริ่มต้นมาจากที่จอห์นสันได้โพสต์ภาพบน Instagram เพื่อขอบคุณ Universal Pictures รวมทั้งทีมงานและนักแสดงในระหว่างถ่ายทำ ‘Fast 8’ โดยไม่มีชื่อของดีเซล พร้อมกับโจมตี ‘นักแสดงชายบางคน’ ที่น่ารังเกียจ เพราะไม่เป็นมืออาชีพในการทำงานและไร้ประโยชน์สิ้นดี
สอดคล้องกับข่าวที่แพร่สะพัดออกมาว่า ดีเซลคือนักแสดงคนนั้น ที่แม้ว่าตัวเองจะมีภาพลักษณ์ที่รักในแฟรนไชส์นี้ในฐานะผู้สร้าง กลับไม่สามารถทำงานควบคุมกองถ่ายได้ แถมดีเซลเองยังทำงานแบบไม่มีระเบียบวินัย ทั้งมาสาย นอนพักอ้อยอิ่งบนรถเทรลเลอร์จนลืมเวลา ฯลฯ จนเริ่มเกิดเป็นรอยร้าวขึ้น สถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มลุกลามไปยังนักแสดงและทีมงานที่เริ่มแบ่งข้างกันอย่างชัดเจน
หลังถ่ายทำ ‘Fast 8’ จบ จอห์นสันโพสต์ขอบคุณทีมงานอีกครั้ง และแน่นอนว่า คราวนี้ก็ไม่มีชื่อของดีเซลอีกเช่นเคย แถมตอนฉายก็มีคนดูสังเกตเห็นว่าไม่มีฉากที่ทั้งคู่ร่วมเฟรมกันเลยแม้แต่ฉากเดียว ตอนหลังจอห์นสันจึงออกมายืนยันว่าทั้งคู่ไม่ได้เข้าฉากร่วมกันจริง ๆ เนื่องจากวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน
เวลาผ่านไป สถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น เพราะทั้งคู่เริ่มพูดถึงและส่งคำอวยพรถึงกัน ในขณะที่จอห์นสันได้ประกาศโปรเจ็กต์ภาคแยก ‘Hobbs & Shaw’ ที่เขาแสดงและเป็นโปรดิวเซอร์เอง แต่สถานการณ์ก็เหมือนจะแย่ลงไปอีก เพราะจอห์นสันได้เปิดเผยว่า เขาจะไม่กลับมาใน ‘F9’ และในแฟรนไชส์อีก แม้ดีเซลจะหยอดคำหวานเป็นเชิงง้อให้น้องชายของเขากลับมาแล้วก็ตาม
แต่ในที่สุด ใน End Credits ของ ‘Fast X’ เราก็ได้เห็นจอห์นสันกลับมารับบทเดิม และปูเรื่องไปยัง ‘Fast 11’ เล่นเอาคนดูงงว่าพี่ ๆ ไปคืนดีกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ซีนาเล่าเปรียบเทียบความขัดแย้งของ 2 เสือ กับโลกของนักมวยปล้ำ WWE ที่ทำให้เขาเรียนรู้ถึงประสบการณ์อันซับซ้อน และการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมของนักมวยปล้ำ
“คือเพื่อน คุณต้องนึกภาพตามนะ ผมถูกส่งเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ที่มีคนที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน บางคนพูดว่า ‘พ่อของนายทำงานอะไร ? – เล่นมวยปล้ำ’ ‘แล้วปู่ของนายล่ะทำงานอะไร ? – เล่นมวยปล้ำ’ ผมเคยเจอสภาพแวดล้อมแบบนั้นมา ผมเลยต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น”
ส่วนในโลกของ ‘Fast & Furious’ แม้จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น และเขาก็ได้มีส่วนร่วมในแฟรนไชส์หนังแอ็กชันยอดฮิตที่ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เขากลับตระหนักว่าตัวเขาเองเป็นเพียงแขกของครอบครัวในบ้านหลังใหญ่หลังนั้น
“ผมเหมือนเป็นแค่แขกรับเชิญไปที่บ้านของใครบางคน ในครอบครัวของใครบางคน และไม่ว่าพวกเขาจะดูเป็นคนแบบไหนเมื่อเทียบกับอีกคนหนึ่ง แต่อย่างน้อยนี่ก็คือแฟรนไชส์หนังแอ็กชันที่มีตั้ง 9 ภาค ซึ่งมันเป็นโอกาสที่ไม่ได้หาที่ไหนได้ง่าย ๆ อย่างน้อยที่สุด ผมเองก็ต้องให้ความเคารพในเรื่องนั้น”
“ผมไม่ได้พยายามจะลอยตัวเหนือปัญหาหรอกครับ นั่นไม่ใช่วิธีการของผม ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทุกคนมีกับผม แต่ผมก็แค่อยากจะเป็นรถดับเพลิงให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เท่านั้นเองล่ะครับ”