แม้ว่า เบน (Bane) สมาชิกของพันธมิตรแห่งเงา (League of Shadows) ที่ปรากฏตัวใน ‘The Dark Knight Rises’ (2012) จะไม่ใช่วายร้ายในจักรวาลแบทแมนที่น่าจดจำที่สุด เพราะดันมาปรากฏตัวหลังจากการมาและหายตัวไปของ โจ๊กเกอร์ ใน ‘The Dark Knight’ (2008) ที่ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ทิ้งเอาไว้เป็นมรดกให้กับโลกได้อย่างงดงาม
แต่หากมองกันเฉพาะในไตรภาค ‘The Dark Knight Trilogy’ เบนก็ยังถือเป็นวายร้ายจอมโหดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และ ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) นักแสดงหุ่นล่ำผู้รับบทนี้ก็สามารถถ่ายทอดความร้ายกาจในแบบของเบนออกมาในภาคนี้ได้อย่างน่าประทับใจ แต่เราเกือบจะไม่ได้เห็นเบนมาเป็นวายร้ายในหนังปิดไตรภาคนี้แล้ว
เพราะ โจนาธาน โนแลน (Jonathan Nolan) น้องชายแท้ ๆ ของ เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Sir Christopher Nolan) ที่เพิ่งจะรับหน้าที่เป็นครีเอเตอร์ เขียนบท กำกับ และ Exclusive Producer ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกมชื่อดัง ‘Fallout’ ของ Prime Video และยังเป็นผู้รับหน้าที่เขียนบท ‘The Dark Knight’ (2008) และ ‘The Dark Knight Rises’ (2012) ได้เล่าขยายความเรื่องนี้ในในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ จอช โฮโรวิตซ์ (Josh Horowitz) ในพอดแคสต์ ‘Happy Sad Confused’
โจนาธานได้เล่าว่า ในช่วงเวลาที่ทีมเขียนบทกำลังเลือกวายร้ายเพื่อมารับบทในภาคนี้ และเขาเองก็ได้เสนอให้นำเอาวายร้ายจอมปริศนาอย่าง ริดเลอร์ (Riddler) กลับมา ในขณะที่คริสโตเฟอร์ และ เดวิด เอส โกเยอร์ (David S. Goyer) ผู้เขียนบทร่วมและผู้วางโครงเรื่องของไตรภาค กลับมีแผนที่อยากจะได้ผู้ก่อการร้ายกล้ามล่ำอย่างเบนมากกว่า
“เราได้มีการสนทนากันในเรื่องนี้ ไอเดียของเบนนั้นมาจากการสนทนาของเดวิดกับคริส ผมเองตอนนั้นยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเบนจะเหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากน้อยแค่ไหน แต่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะไปก้าวก่ายหรือจู้จี้โดยไม่ใช่เหตุน่ะครับ เพราะคริสเองมองว่า ด้วยความที่ ฮีธ เลดเจอร์ เองก็ทำมาตรฐานเอาไว้สูงมาก ๆ อยู่แล้ว เราจึงไม่ควรจะไปสร้างตัวเปรียบเทียบด้วยการใช้วายร้ายที่ดูมีความใกล้เคียงกัน”
“ผมเองมีไอเดียที่อยากจะเอามาใช้ และสิ่งที่เราจะสามารถทำได้กับตัวละครริดเลอร์ แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราทำกับฮีธ เราเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทาง และแนวของเนื้อเรื่องมันก็เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ตรงนั้น”
แม้ว่าคริสโตเฟอร์เองจะลังเลที่อยากจะกำกับ ‘The Dark Knight Trilogy’ ต่อไป แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับมาสานต่อความตั้งใจของเขาที่จะให้ภาคนี้เป็นการปิดไตรภาคเรื่องราวของอัศวินรัตติกาลอย่างสมบูรณ์ โจทย์แรกที่เขาตั้งใจจะทำก็คือ เขาจะไม่พยายามรื้อฟื้นบทบาทโจ๊กเกอร์จากภาคก่อน ที่ส่งให้เลดเจอร์คว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมหลังจากเสียชีวิตในปีเดียวกัน และจะไม่มีการคัดเลือกนักแสดงคนใหม่มารับบทเป็นโจ๊กเกอร์โดยเด็ดขาด เพื่อแสดงความเคารพต่อการแสดงอันยอดเยี่ยมชิ้นสุดท้ายของเลดเจอร์
โกเยอร์ได้เคยเปิดเผยไว้ในรายการพอดแคสต์เดียวกันว่า แต่เดิมแล้ว สตูดิโอ Warner Bros. ได้วางแผนให้ริดเลอร์มาเป็นวายร้ายในภาคนี้ ซึ่งก็น่าจะสืบเนื่องจากความโด่งดังของริดเลอร์ วายร้ายของแบทแมนใน ‘Batman Forever’ (1995) ที่แสดงโดย จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) ที่นับว่าเป็น 1 ในวายร้ายยอดนิยมตลอดกาลของแบทแมนที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น ให้กลับมาโลดแล่นในจักรวาลแบทแมนยุคใหม่อีกครั้ง
ซึ่งโกเยอร์ยังได้เล่าอีกว่า มีผู้บริหารคนหนึ่งของ Warner Bros. ได้คุยกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วยว่า ต้องการอยากให้นักแสดงพระเอกสุดหล่ออย่าง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) มารับบทเป็นวายร้ายจอมปริศนา แต่ในที่สุด ทั้งโกเยอร์และคริสโตเฟอร์ก็ตัดสินใจเลือกฮาร์ดี เนื่องจากความเหมาะสมต่อคาแรกเตอร์และเรื่องราวที่ต้องการจะเล่าในภาคนี้ รวมทั้งยังต้องการให้วายร้ายในภาคนี้มีความแตกต่างออกไปจากวายร้ายในภาคก่อน ๆ และมีความท้าทายต่อ บรูซ เวย์น ในภาคนี้ที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก
โจนาธานได้กล่าวเพิ่มเติมถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้เบนได้กลายมาเป็นวายร้ายหลักในภาคนี้ ที่แม้ว่าจะเป็นตัวร้ายที่มีผู้คนชอบค่อนข้างน้อย และอาจไม่ได้มีความโดดเด่นเป็นที่จดจำสำหรับแฟน ๆ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเลือกวายร้ายและนักแสดงให้เข้ากับธีมเรื่อง แต่เป็นการวางธีมเรื่องให้แข็งแรง โดยมีคาแรกเตอร์ที่เหมาะสมช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวต่างหาก
“สิ่งที่ผมตื่นเต้นเกี่ยวกับ ‘The Dark Knight Rises’ ก็คือ ถ้าคุณนำเสนอแนวอาชญากรรมกลางเมืองใน ‘The Dark Knight’ ภาคที่ 3 ก็คือพล็อตหนังแนวหลังโลกล่มสลาย (Post-Apocalyptic) อะไรแบบนั้น คือถ้าปกติแล้วแบทแมนมักจะเป็นคนที่กอบกู้โลก และเมือง (ก็อตแธม) ก็ยังคงอยู่ แต่ทำไมเราไม่ตัดสินใจทำลายก็อตแธมแล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นทีหลังแทนล่ะ”