เมื่อปีที่แล้ว ผู้กำกับชั้นครูอีกคนของวงการอย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ได้หยิบเอาเรื่องราวชีวิต ความรัก และสงครามของ จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) มหาบุรุษคนสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส มาถ่ายทอดผ่านหนังดราม่าสงครามฟอร์มยักษ์ ‘Napoleon’ (2023) ของ Apple Studios ที่ทุ่มทุนสร้างมากกว่า 200 ล้านเหรียญ ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะได้รับคำชมว่าถ่ายทอดฉากสงครามออกมาได้ทั้งโหดและสมจริง
แต่ตัวหนังโดยรวม ๆ ก็ยังถือว่าได้รับคำวิจารณ์แบบกลาง ๆ และตอนฉายก็ค่อนข้างขาดทุนพอสมควร แถมตัวหนังยังโดนวิจารณ์ในเรื่องของความถูกต้องในเชิงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในซีนต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง รวมทั้งอายุของตัวละครที่ไม่สมจริง จนปู่สก็อตต์เองยังต้องออกมาฉะว่าให้หุบปากไปเสียเดียวนี้
รวมทั้งการแสดงของ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) และ วาเนสซา เคอร์บี (Vanessa Kirby) ที่จริง ๆ แล้วก็นับได้ว่าไม่ผิดหวัง แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบการแสดงของทั้งคู่ในการรับบทเป็นจักรพรรดินโปเลียน และจักรพรรดินีโจเซฟีนด้วยเช่นเดียวกัน
ในการสัมมนาหัวข้อ ‘Brian Cox: History On Stage And Screen’ หรือเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ในละครเวทีและภาพยนตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน HistFest ซึ่งเป็นเทศกาลเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกประวัติศาสตร์ ที่จัดขึ้น ณ หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ (The British Library) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้
โดยใน Session นี้ ผู้ที่มาบรรยายก็คือ ไบรอัน ค็อกซ์ (Brian Cox) นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวสก็อตแลนด์ วัย 77 ปี เจ้าของบทบาท โลแกน รอย (Logan Roy) เจ้าของธุรกิจสื่อทรงอิทธิพล ในซีรีส์ดราม่าตลกร้าย ‘Succession’ (2018–2023) ของ HBO เจ้าของสถิติ 16 รางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards ซึ่งเขาได้รับเชิญมาในสัมมนานี้ เนื่องจากเขาเป็นนักแสดงที่มักจะได้รับบทบาทในหนังและละครเวทีแนวอิงประวัติศาสตร์อยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่พลาดที่จะวิพากษ์วิจารณ์หนัง ‘Napoleon’ รวมไปถึงการแสดงของฟีนิกซ์แบบตรงไปตรงมา
“มันแย่มาก ๆ โคตรจะแย่ เป็นการแสดงของ วาคีน ฟีนิกซ์ ที่โคตรจะแย่เลย มันช่างน่าตกใจจริง ๆ นะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผมว่านี่มันเป็นความผิดของเขาโดยสิ้นเชิง และผมก็ไม่คิดว่า ริดลีย์ สก็อตต์ จะช่วยอะไรเขาได้ด้วย ผมว่าถ้าเป็นผม คงเล่นบทนี้ได้ดีกว่า วาคีน ฟีนิกซ์ มากแน่ ๆ ที่ผมจะบอกก็คือ คุณจะบอกว่ามันเป็นการแสดงดราม่าที่ดีได้ไหม – ไม่ มันเป็นเรื่องโกหก”
ไม่ใช่แค่นั้น ค็อกซ์ยังแอบเลยเถิดไปเล่นมุกเพี้ยนเสียงชื่อของนักแสดงคนดังด้วย “ผมคิดว่าชื่อของเขานี่เป็นชื่อที่ดีนะ วาคีน… แวคคีน… แวกกี้ (Wacky)… ช่างเป็นการแสดงที่แปลกประหลาดซะจริง ๆ ” (Wacky – เป็นคำแสลงหมายถึง ความบ้า พิลึก แปลกประหลาด)
ทั้งค็อกซ์และฟีนิกซ์ไม่เคยร่วมงานแสดงแบบเจอหน้ากันมาก่อน แต่ค็อกซ์เคยร่วมงานพากย์เสียงในหนัง ‘Her’ (2013) ที่ฟีนิกซ์แสดงนำ ส่วนค็อกซ์เคยร่วมงานกับหนังที่สก็อตต์เคยเป็นโปรดิวเซอร์ 2 เรื่อง คือ ‘Tell-Tale’ (2009) และ ‘Morgan’ (2016)
และไม่ใช่แค่นั้น ค็อกซ์ยังเลยไปวิพากษ์วิจารณ์ ‘Braveheart’ (1995) ที่เขาเคยแสดงร่วมกับ เมล กิบสัน (Mel Gibson) ด้วยว่า “‘Braveheart’ นี่มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมาก คือ เมล กิบสันเป็นคนที่วิเศษมากนะ แต่มันก็เต็มไปด้วยเรื่องโกหกทั้งนั้นน่ะ เขาไม่เคยทำให้เจ้าหญิงฝรั่งเศสตั้งท้องเลยด้วยซ้ำ มันเป็นหนังที่บ้าบอคอแตกมาก ๆ “
ฟีนิกซ์ไม่ใช่คนแรกที่เขาวิจารณ์ในด้านการแสดง เพราะที่ผ่านมา ค็อกซ์มักจะวิพากษ์วิจารณ์วิธีการแสดงแบบสวมวิญญาณเป็นตัวละครตัวนั้น ๆ หรือที่เรียกกันว่า Method Acting มาโดยตลอด ไม่เว้นแม้แต่ เจเรมี สตรอง (Jeremy Strong) นักแสดงที่รับบทเป็นลูกของเขาในซีรีส์ ‘Succession’ ผ่านบทสัมภาษณ์ของเว็บไซต์ Town & Country ที่เขาวิจารณ์การแสดงแบบ Method ของสตรองว่าโคตรน่ารำคาญ
“เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก ๆ และทุกคนที่เหลือก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้แต่การรู้จักตัวละคร และสิ่งที่ตัวละครทำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชุดทักษะเท่านั้น แต่ว่าแม่-โคตรน่ารำคาญชะมัด อย่าให้ผมต้องพูดเลย เขายังคงเป็นผู้ชายคนนั้น เพราะเขารู้สึกว่า ถ้าเขาเดินออกจากกองถ่ายไปแล้วเขาก็จะสูญเสียมันไป แต่เขากลับไม่ยอม! สตรองเป็นคนที่มีความสามารถ มีพรสวรรค์โคตร ๆ เลยนะ แต่ถ้าคุณมีพรสวรรค์นั้นแล้ว ก็จงไปพักผ่อนซะ ไปนั่งในรถเทรลเลอร์แล้วสูบกัญชาซะบ้างเถอะ อะไรแบบนี้”
ในงานเสวนาเดียวกัน ค็อกซ์ยังได้กล่าวถึงความที่เขาไม่เห็นด้วยต่อการแสดงแบบ Method Acting
“(Method Acting) มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก ไร้สาระจริง ๆ เราเป็นผู้ส่งสัญญาณ ในฐานะนักแสดง เราต้องส่งพลังงานออกไปต่างหาก การประพฤติตัวเหมือนกับตัวละครที่เขาเล่นในช่วงเวลาพักงานนั้นไม่ได้สำคัญไปมากกว่าการค้นคว้าหาข้อมูล คุณต้องทำการบ้าน นั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำ คุณต้องเอาข้อมูลที่คุณได้จากการอ่านทุกอย่างมาสร้างขึ้นเป็นภาพว่าบุคคลนี้เป็นใครต่างหาก นั่นแหละคือหัวใจของสิ่งเหล่านั้น”