ทุกวันนี้ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างก็หาจุดขายต่าง ๆ นานามาเรียกความสนใจผู้ชมให้ออกจากบ้านมาซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ในโรง เพราะคู่แข่งสำคัญก็คือภาพยนตร์และซีรีส์ทางสตรีมมิงนั่นเอง ซึ่งผู้ชมเองก็มีหลักเกณฑ์ในการเลือกสรรหนังที่พวกเขาคิดว่าคุ้มค่ากับค่าตั๋วและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการออกจากบ้าน นอกเหนือไปจากชื่อเสียงของดารา ผู้กำกับ และคะแนนจากนักวิจารณ์แล้ว อีกประเด็นสำคัญในการตัดสินใจในการเลือกชมก็คือ ‘ความยาวของหนัง’ แม้กระทั่งผู้ให้บริการสตรีมมิงรายใหญ่อย่าง Netflix ก็ตระหนักดีในเรื่องนี้ ถึงกับจัดหมวดหมู่ต่างหากให้กับหนังที่มีความยาวเกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หนังฮอลลีวูดเริ่มมีความยาวเกิน 2 ชั่วโมงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ‘Oppenheimer’ ที่มีความยาว 3 ชั่วโมงพอดี แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ นั่นจึงเป็นตัวอย่างที่สวนทางกับความเข้าใจพื้นฐานว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบดูหนังที่มีความยาวมากเกินไป และถ้าหนังเรื่องใดที่มีความยาวเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป หนังเรื่องนั้นจะต้องสนุกชวนติดตามและสามารถตรึงความสนใจผู้ชมไว้ได้จนจบ ตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้เกิดข้องสัยว่า แท้จริงแล้ว ‘ความยาวที่เหมาะสม’ ของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ควรจะอยู่ที่กี่นาที เรื่องนี้มีคำตอบ โดย Talker Research บริษัทที่ให้บริการวิเคราะห์วิจัยทางการตลาด ได้ออกสำรวจความคิดเห็น จากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 2,000 คน และได้ข้อสรุปตามรสนิยมของชาวอเมริกันว่า

ระยะเวลาของภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือ 92 นาที

หนังที่มีความยาว 92 นาที อย่างเช่น Beetlejuice, Dodgeball, Kung Fu Panda, Monsters Inc, Toy Story 2

Monster inc. หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีความยาวพอเหมาะพอดี

เมื่อได้คำตอบเช่นนี้แล้ว ก็น่าจะมีผลต่อผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไปคำนึงถึงในการสร้างหนังเรื่องต่อ ๆ ไปในอนาคต

  • ในจำนวน 2,000 คนนั้น มีเพียง 2 % เท่านั้น ที่คิดว่าภาพยนตร์ควรมีความยาวเกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง
  • ในขณะที่ 15% คิดว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องความยาวที่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป
  • ผู้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนคิดว่าพวกเขาได้ดูหนัง 2 เรื่องที่เขาคิดว่ายาวนานเกินไปในช่วง 60 วันที่ผ่านมา
  • 23% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขาได้ดูหนังที่ยาวเกินไปประมาณ 3 เรื่องในช่วง 60 วันที่ผ่านมา

ในแบบสอบถามยังถามถึงความรู้สึกของผู้ชมชาวอเมริกันต่อหนังที่มีซับไตเติล

  • 15% บอกว่า การเปิดหรือปิดซับไตเติลเป็นประเด็นโต้เถียงกันอย่างมากเวลาที่ดูหนังด้วยกันในครอบครัว แต่อีก 77% บอกว่าไม่มีปัญหา
  • 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขา “ไม่เคยเปิด” ซับไตเติลเลยเวลาดูหนังที่บ้าน อีก 16% บอกว่า “เปิด” ซับไตเติลขณะดูเสมอ
  • จากการสำรวจพบว่า กลุ่มที่ชอบเปิดซับไตเติลมักจะเป็นกลุ่มเยาวชน 30% ที่เป็นกลุ่ม Gen Z บอกว่าพวกเขาเปิดซับไตเติลขณะดูหนังอยู่เสมอ และอีก 23% ที่เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียลก็ชอบเปิดซับไตเติลเช่นเดียวกัน

ที่มา : Unilad