จริงอยู่ที่คริส ไพน์ (Chris Pine) นักแสดงหนุ่มหล่อชาวอเมริกันวัย 43 ปี ที่เราคุ้นหน้ากันจากการรับบทเป็นสตีฟ เทรเวอร์ แห่งจักรวาล DCEU จะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเป็นนักแสดงก็จริง เพราะเขามีทั้งพ่อ แม่ รวมทั้งย่าที่เคยเป็นนักแสดงมาก่อนทั้งสิ้น แต่ชีวิตของเขาในด้านการแสดงก็ไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ ที่ต้องปากกัดตีนถีบ จนกระทั่งพบกับผลงานที่แจ้งเกิดให้เขากลายเป็นที่รู้จักของผู้ชมเป็นครั้งแรก
ซึ่งถ้าหาก ‘The Princess Diaries’ (2001) หนังรอมคอมเจ้าหญิง จะเป็นอีก 1 ผลงานแจ้งเกิดของนักแสดงสาววัยรุ่นเจ้าของบทมีอา อย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway) ภาคต่อมาอย่าง ‘The Princess Diaries 2: Royal Engagement’ (2004) ซึ่งบทบาท ลอร์ด นิโคลัส เดเวอโรซ์ ขุนนางสุดหล่อ ผู้ปฏิเสธมงกุฎและพิชิตใจเจ้าหญิง ก็เป็นที่ที่แจ้งเกิดให้ไพน์เป็นที่รู้จักของผู้ชมเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน
แต่ชีวิตของไพน์ไม่ได้หรูหราเหมือนในหนัง เพราะตอนนั้นเขาต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่ต่างจากนักแสดงหลาย ๆ คน ไพน์ได้มีโอกาสเปิดเผยเรื่องราวนี้ในตอนล่าสุดของรายการ ”Sunday Today with Willie Geist‘ ของสถานีโทรทัศน์ NBC ที่เขาได้มีโอกาสเล่าว่า นี่ไม่ใช่แค่หนังที่ทำให้ผู้ชมได้เห็นหน้าของเขา แต่หนังเรื่องนี้ยังช่วยชีวิตจากวิกฤติทางการเงินที่เข้าขั้นติดลบในเวลานั้นด้วย
“ตอนนั้นถือเป็นช่วงฤดูร้อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยครับ อยู่ดี ๆ โชคดีก็เข้ามาหาผม ตอนนั้นผมใช้โทรศัพท์ฝาพับเครื่องเล็ก ๆ สีเงินของ Verizon แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนของผมว่า มีคนติดต่องานผมเข้ามา”
“ผมขับรถไปบนทางด่วน แล้วเขาก็บอกผมว่า ‘นายจะได้รับค่าตัว 65,000 นะ’ มันเหมือนกับว่า เขากำลังบอกว่าผมจะได้รับเงิน 50 ล้านเหรียญอะไรทำนองนั้นเลย มันทำให้ผมตื่นเต้นมาก ๆ ครับ”
หลังจากที่มีอา เทอร์โมโพลิส ได้ขึ้นบัลลังก์เป็นเจ้าหญิงอะมีเลีย แห่งประเทศเจโนเวีย ใน ‘The Princess Diaries’ ภาคแรก มาในภาคนี้ มีอาได้รับการเสนอให้เป็นรัชทายาทเพื่อรับตำแหน่งราชินีแห่งเจโนเวีย แต่ตามกฎมนเทียรบาลระบุว่า รัชทายาทที่จะรับตำแหน่งเจ้าหญิงจะต้องผ่านพิธีเสกสมรส จึงจะสามารถเข้าพิธีราชาภิเษกได้
ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของหลาย ๆ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในการเสนอให้เจ้าหญิงอะมีเลียขึ้นเป็นราชินี รวมทั้งฝ่ายขุนนางที่ส่งลอร์ดนิโคลัส เดเวอโรซ์ มาเสนอตัวเป็นรัชทายาทและขึ้นบัลลังก์แทน หากเจ้าหญิงเข้ารับการดูตัวเพื่อหาเจ้าชายมาเสกสมรสให้ได้ภายใน 30 วัน แต่สุดท้ายความรักก็ทำให้ทั้งคู่ไขว้เขว และนำไปสู่การเปลี่ยนกฎระเบียบโบร่ำโบราณที่เคยมีมาไปตลอดกาล
ตัวหนังอาจไม่ได้สำเร็จในเชิงคำวิจารณ์เท่าภาคแรก แต่ก็ยังทำรายได้พอสมควรที่ 134 ล้านเหรียญ และบทเปลี่ยนชีวิตนั้นก็ส่งให้ไพน์มีบทบาทการแสดงทั้งในหนังและทีวีซีรีส์อีกมากมาย ในปี 2003 เขาได้ไปเป็นนักแสดงรับเชิญในซีรีส์ดัง ๆ 3 เรื่อง ทั้ง ‘ER’, ‘The Guardian’ และ ‘CSI: Miami’ และได้รับบทนำ ด้วยการรับบทเป็นกัปตันเจมส์ เคิร์ก เป็นครั้งแรกใน ‘Star Trek’ (2009) และรับบทเป็นสตีฟ เทรเวอร์ สามีของไดอานา พรินซ์ หรือ Wonder Woman แห่งจักรวาล DCEU เป็นครั้งแรกใน ‘Wonder Woman’ (2017)
แม้ว่าไพน์จะได้รับค่าตัวจากการแสดงในคราวนั้นถึง 65,000 เหรียญ ที่อาจจะไม่มากมาย แต่ก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งมีผลงานหนังยาวเรื่องแรก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเจอกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมาย
“ตอนนั้นผมได้ค่าตัว 65,000 เหรียญครับ แล้วผมจำได้แม่นเลยว่าตอนนั้นชีวิตผมเปลี่ยนไปเลยแหละ แม้ว่าสุดท้าย 65,000 เหรียญในตอนท้ายจะเหลืออยู่แค่ประมาณ 15,000 เหรียญเอง” (หัวเราะ)
“ตอนนั้นผมมีเงินที่เบิกเกินบัญชีธนาคารอยู่ประมาณ 400 เหรียญ ผมเลยต้องคอยขอยืมเงินพ่อแม่ตลอด แล้วพอผมได้เงิน 65,000 เหรียญก้อนนั้นมา ผมจำได้ชัดเจนเลยว่า ชีวิตของผมมันก็เปลี่ยนไปในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
คือมันคงไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่นานอะไรขนาดนั้นนะครับ แต่ผมเองก็ติดหนี้พ่อแม่ด้วย และนั่นก็เป็นความรู้สึกที่โหดร้ายมาก ผมจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาด”