เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ‘Mad Max: Fury Road’ (2015) ผลงานมหากาพย์แอ็กชันจากวิสัยทัศน์ของ จอร์จ มิลเลอร์ (George Miller) ที่ขยายจักรวาลจากหนังคัลต์มาดเข้มแห่งยุค 80s สู่หนังแอ็กชันที่อัดความบ้าคลั่งใส่คนดูในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ฉากแอ็กชันรถซิ่งสุดระทึก งานสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ การคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของแฟรนไชส์ที่ว่าด้วยเรื่องของความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกยุคหลังการล่มสลาย
จนกลายเป็นปรากฏการณ์วินาศสันตะโรแห่งปีนั้นที่ทำรายได้และคำวิจารณ์อย่างงดงาม ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 10 สาขา และกวาดมาได้ 6 รางวัลที่เน้นไปทางงานการตัดต่อ เสียง และโปรดักชัน
แต่ในเบื้องหลังอันบ้าคลั่งก็ยังมีเบื้องหลังที่ดูจะบ้าคลั่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความยากลำบากในการถ่ายทำ รวมทั้งความกดดันในการทำงาน จนกลายเป็นข่าวลือในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการไม่กินเส้นกันของ 2 นักแสดงนำ ระหว่างทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) เจ้าของบท แม็กซ์ ร็อกคาแทนสกี (Max Rockatansky) อดีตตำรวจหนุ่มผู้มีปมอดีต ที่กลายมาเป็นนักพเนจร
กับชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) นักแสดงเจ้าของบท อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซ่า (Imperator Furiosa) ผู้หลบหนีออกมาจากซิทาเดล ดินแดนเผด็จการของ อิมมอร์ทัน โจ (Immortan Joe) ที่อาศัยมาอย่างยาวนานกว่า 7,000 วัน เพื่อหาทางกลับบ้านยังดินแดนที่เรียกว่า The Green Place of the Many Mothers
มิลเลอร์ในฐานะผู้กำกับ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความบาดหมางของ 2 นักแสดงนำกับ The Telegraph ซึ่งเขาเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เปิดเผยนั้นเป็นเรื่องจริงโดยที่ไม่มีข้อแก้ต่างใด ๆ
“พวกเขาเป็นแค่นักแสดง 2 คนที่แตกต่างกันมาก ๆ ครับ ทอมเองก็มีข้อเสียอยู่ในตัว แต่เขาเองก็มีความฉลาดที่มาด้วยพร้อมกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนต้องมีคนไปเกลี้ยกล่อมให้เขายอมออกมาจากรถเทรลเลอร์ ในขณะที่ชาร์ลิซเองก็มีระเบียบวินัยอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นมืออาชีพจากการฝึกฝน ที่เป็นตัวชี้ถึงความแม่นยำในการแสดงของเธอ และเธอก็มักจะมาถึงเป็นคนแรกในกองถ่ายเสมอ”
มิลเลอร์เล่าว่าในตอนแรก ๆ เธอรอนเตือนเขาว่าเธอไม่ชอบฝุ่น ในขณะที่หนังเรื่องนี้มีโลเคชันส่วนใหญ่อยู่ในทะเลทราย แม้เขาจะยืนยันกับเธอว่าจะมีผ้าเช็ดทำความสะอาดพร้อมให้เธอเสมอ “แต่เธอกลับบอกว่า ‘ไม่ ฉันแค่จะบอกคุณว่าฉันทำได้’ และทุกเช้าหลังจากแต่งตัวและแต่งหน้า เธอก็จะออกมาข้างนอกและกลิ้งตัวคลุกฝุ่นไปมา”
มิลเลอร์กล่าวย้ำว่า แม้ปัญหาที่เกิดจากการมาทำงานสายของฮาร์ดี จนทำให้นักแสดงรุ่นพี่อย่างเธอรอนถึงกับหงุดหงิด จะส่งผลถึงความตึงเครียดในการถ่ายทำ แต่เขาเองก็มองว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนไปถึงคาแรกเตอร์ของตัวละคร
“ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนะครับ ดังนั้นผมเลยมองว่า พฤติกรรมของพวกเขานั้นสะท้อนไปถึงตัวละครของพวกเขา ที่ต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะอยู่รอดร่วมกันได้ แต่ยังไงก็ตาม ผมก็ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้ และผมคิดว่าเราควรใช้สิ่งนี้เพื่อ หลีกเลี่ยงอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และเพื่อจุดประสงค์ในการทำให้เกิดการแสดงอันยอดเยี่ยม”
ใน ‘Blood, Sweat & Chrome: The Wild and True Story of Mad Max’ หนังสือบันทึกเบื้องหลังการถ่ายทำของหนังเรื่องนี้ เขียนโดย ไคล์ บิวแคนัน (Kyle Buchanan) คอลัมนิสต์ของ The New York Times ได้บันทึกช่วงเวลาขัดแย้งของทั้งคู่ที่หนาวยิ่งกว่าฤดูหนาวในทะเลทรายนามิบ ประเทศนามิเบียที่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ในหนังสือบรรยายว่า หลังจากที่มิลเลอร์สั่งคัต ทั้งเธอรอนและฮาร์ดีต่างลุกขึ้นมาและปัดฝุ่นเพื่อรอเข้าฉากถัดไป โดยที่ทั้งคู่ไม่เคยหันมาสบตากันเลยสักครั้ง
นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult) ผู้รับบทเป็นนักซ์ (Nux) War Boy ผู้แปรพักตร์ เปิดเผยกับบิวแคนันในหนังสือเล่มนั้นว่า “มันเป็นบรรยากาศที่ตึงเครียดในบางครั้ง มันเหมือนกับว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน แล้วผู้ใหญ่ที่นั่งหน้ารถก็กำลังทะเลาะกัน”
ในขณะที่เธอรอนเปิดเผยในหนังสือว่า “มันเหมือนกับพ่อแม่ 2 คนที่นั่งอยู่หน้ารถ เรากำลังทะเลาะกันหรือเย็นชาใส่กัน ฉันไม่รู้ว่าอันไหนแย่กว่ากัน และพวกเขาก็ต้องรับมือกับเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แย่มาก ! เราไม่ควรจะทำแบบนั้น เราควรจะทำได้ดีกว่านี้ ฉันเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน”
มาร์ก โกลนิชท์ (Mark Goellnicht) ตากล้อง และผู้ควบคุมกล้อง Steadicam ของหนังเรื่องนี้เล่ารายละเอียดถึงสาเหตุที่นักแสดงชื่อดังทั้ง 2 คนทะเลาะกันว่า
“ผมจำวันนั้นได้แม่น พวกเขานัดกองเข้าฉากตอน 8 โมงเช้า ชาร์ลิซไปถึงกองถ่ายตอน 8 โมงเช้า นั่งอยู่ในรถ War Rig (รถบรรทุกที่ฟูริโอซ่าขับ) แล้ว โดยที่รู้ว่าทอมคงไม่มีวันจะไปถึงกองถ่ายตอน 8 โมงเช้าแน่ ๆ แม้ว่าพวกเขาจะขอร้องให้เขามาตรงเวลาแล้วก็ตาม เขาเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องของการมาไม่ตรงเวลาอยู่แล้ว คือถ้าเกิดนัดกองเช้านี่คือลืมไปได้เลย ยังไงเขาก็มาสาย”
ในขณะที่ริกกี แชมเบิร์ก (Ricky Schamburg) ผู้ช่วยกล้องหมายเลข 1 ตั้งข้อสังเกตว่า “มันจะเป็นการแสดงอำนาจหรือไม่ อันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมเองรู้สึกว่ามันเป็นการตั้งใจยั่วยุ ถ้าถามผมส่วนตัว เขาเองก็รู้แหละว่ามันจะทำให้ชาร์ลิซรู้สึกหงุดหงิด เพราะเธอมีความเป็นมืออาชีพ และเธอก็มาถึงกองถ่ายเร็วมากจริง ๆ”
จุดแตกหักของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ฮาร์ดีเดินทางมาถ่ายทำในวันนั้นสายถึง 3 ชั่วโมง ในขณะที่เธอรอนที่มาก่อน สวมชุดเต็มยศ นั่งรออยู่ที่รถ War Rig เตรียมพร้อมรอถ่าย โกลนิชท์เล่าถึงช่วงเวลานั้น
“เธอกระโดดออกจาก War Rig และเธอก็เริ่มสบถใส่เขาว่า ‘ใครก็ได้ช่วยปรับไอ้หน้าเ-ี้ยนี่สักแสนเหรียญ ทุก ๆ นาทีที่ไอ้นี่มันทำให้ทีมงานเสียเวลาหน่อยสิวะ’ และ ‘-ึงนี่ช่างไม่รู้จักให้เกียรติซะบ้างเลย!’ ซึ่งเธอก็พูดถูกนั่นแหละ เธอกรีดร้องโวยวายเต็มที่ เสียงดังมาก แต่ลมก็แรงมากด้วย เขา (ฮาร์ดี) เลยได้ยินแค่บางคำ เขาเลยพุ่งตัวเข้ามาหาเธอแล้วถามว่า ‘เมื่อกี้พูดว่าไงนะ ?’… เขาดูก้าวร้าวมาก เธอรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนทุกอย่าง”
เดย์นา แกรนต์ (Dayna Grant) นักแสดง Stunt Double ของเธอรอนเล่าว่ามีความตึงเครียดเกิดขึ้นจริง ๆ ในกองถ่าย ตั้งแต่มิลเลอร์จนถึงทีมงานทุกคนต่างก็รับรู้เรื่องนี้ จนถึงขั้นที่ต้องแยกถ่ายทำฉากของนักแสดงแยกกัน โดยมีนักแสดงแทนมาแสดงแทน
“ฉันต้องทำทุกอย่างร่วมกับทอม โดยปกติ ชาร์ลิซจะเข้ามาด้วยและพวกเขาจะเข้าฉากด้วยกัน แต่พวกเขาไม่อยากเข้าฉากด้วยกัน ฉันเลยถูกจับคู่ให้แสดงกับทอม ส่วน Stunt Double ของทอมก็แสดงคู่กับชาร์ลิซอยู่เสมอ เราจึงต้องร่วมงานกันกับตัวละครที่อยู่ตรงข้ามกัน”
นักแสดงและทีมงานหลาย ๆ คน รวมทั้งโซอี คราวิตซ์ (Zoë Kravitz) ผู้รับบทเป็นโทสต์ (Toast) หนึ่งในภรรยาของอิมมอร์ทัน โจ ต่างก็ออกมายืนยันถึงความลำบากในการถ่ายทำในสถานที่ที่เต็มไปด้วยสภาพอากาศอันโหดร้าย แปรปรวน และยาวนาน ตารางการถ่ายทำอันเหนื่อยเหน็ดส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจที่เกิดขึ้นกับนักแสดงและทีมงาน จนกลายเป็นความเครียดและบาดหมางกันในเวลาต่อมา
พวกเขา (ฮาร์ดีและเธอรอน) เข้ากันไม่ได้เลย แต่พวกเราเองก็อยู่ในทะเลทรายมานานแล้วเหมือนกัน ฉันคิดว่าทุกคนคงเหนื่อย สับสน และคิดถึงบ้าน เราไม่ได้เห็นอะไรเลยนอกจากทรายมาเป็นเวลา 6 เดือน มันบ้าไปแล้ว จริง ๆ นะ ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นสาเหตุหนึ่งหรือเปล่า ฉันคิดแค่ว่าพวกเขาก็คงไม่ได้เพลิดเพลินกับอะไรแบบนี้เหมือนกัน
หลังจากการเผชิญหน้า เธอรอนได้ขอให้ เดนิส ดีโนวี (Denise Di Novi) โปรดิวเซอร์หญิงมาที่กองถ่ายหนังในทะเลทรายที่นามิเบียคอยเป็นผู้ติดตามเธอ เพื่อดูแลไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายไปมากกว่านี้
เธอรอนเล่าว่า “มันเริ่มไปถึงจุดที่ยากเกินจะรับมือ และฉันมีความรู้สึกว่า บางทีการส่งโปรดิวเซอร์ที่เป็นผู้หญิงลงมา อาจจะพอช่วยให้รับมือได้บ้าง เพราะฉันเองก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะฉันเองก็เริ่มไม่ยอมง่าย ๆ จนกระทั่งจอร์จพูดว่า ‘ก็โอเคนะถ้าเดนิสจะมาด้วย…’ มันเหมือนเขาเริ่มจะเปิดใจและช่วยให้ฉันรู้สึกว่าได้หายใจอีกหน่อย เพราะฉันจะได้มีผู้หญิงอีกคนที่คอยเข้าใจว่าฉันกำลังเจออะไรอยู่”
แม้ว่าบรรยากาศในการถ่ายทำ และความขัดแย้งของทั้งคู่จะยังคุกรุ่น แต่ทั้งคู่ก็ยังคงใช้ความเป็นมืออาชีพของนักแสดงแถวหน้า ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยกันจนกระทั่งเสร็จสิ้น ภายหลัง ฮาร์ดีได้ออกมายอมรับถึงสิ่งที่เขาทำในอดีต
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมเองเหมือนคนที่ไม่ได้เข้าใจในอะไรเลย บางครั้งความกดดันที่เราทั้งคู่ต้องแบกรับก็ล้นหลามมาก สิ่งที่เธอต้องการก็คือ การเป็นคู่หูนักแสดงร่วมที่มีความเป็นมืออาชีพจากผมมากกว่านี้ ผมเลยชอบคิดว่า ตอนนี้ที่ผมแก่กว่าเดิมแล้ว ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน