นอกจาก ‘Top Gun: Maverick’ (2022) จะเป็นหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกยุคหลังโรคระบาด ด้วยรายได้ ณ ปัจจุบันนี้ที่สูงเกือบแตะหลัก 1,500 ล้านเหรียญ จนมีวี่แววของการสร้างภาค 3 ออกมาอยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ก็ยังเป็นแหล่งแจ้งเกิดให้กับเหล่านักแสดงที่ร่วมแสดงเป็นลูกศิษย์อาจารย์มาเวอริก ได้กลายมาเป็นนักแสดงที่มีผลงานในฮอลลีวูดอีกมากมาย
1 ในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นก็คือ เกล็น พาวล์ (Glen Powell) ผู้รับบท เจค เซเรซิน (Jake Seresin) หรือฉายานักบินนาวานาม แฮงแมน (Hangman) อดีตนักแสดงเด็กที่เคยมีบทบาทเล็ก ๆ ใน ‘Spy Kids 3-D: Game Over’ (2003) ที่หลังจากรับบทใน ‘Top Gun: Maverick’ แล้ว เขาก็มีผลงานการแสดงโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาอีกมากมาย ตั้งแต่หนังแอ็กชันคอเมดี ‘Hit Man’ (2023), หนังรอมคอม ‘Anyone but You’ (2023) ที่ประสบความสำเร็จเกินคาด และปีนี้เขายังรับบทนำในภาคต่อหนังภัยพิบัติพายุในตำนาน ‘Twisters’ อีกด้วย
ล่าสุด นักแสดงหนุ่มวัย 35 ปีคนนี้ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ฉบับอังกฤษ ที่นอกจากเขาจะเล่าเรื่องที่เขาเคยประสบความล้มเหลวจากการเข้าร่วมออดิชันบทกัปตันอเมริกาของ MCU รวมทั้งบทบาท ฮาน โซโล วัยหนุ่มในหนังสปินออฟ ‘Solo: A Star Wars Story’ (2018)
หรือแม้แต่ใน ‘Top Gun: Maverick’ ที่แต่เดิมเขาเคยได้รับเลือกให้รับบทเป็น รูสเตอร์ (Rooster) แต่เขาก็พลาดบทบาทนี้ให้กับนักแสดงอีกคนอย่าง ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller) ก่อนที่นักแสดงรุ่นพี่ รวมทั้งโปรดิวเซอร์ของหนังอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) จะเสนอบท Hangman ให้เขาแทน
“สิ่งที่เราทั้ง 2 คนคุยกันก็คือ เราจะทำให้ Hangman ส่งต่อเรื่องราวและมอบกลิ่นอายแบบ ‘Top Gun’ ต้นฉบับอย่างที่เราต้องการได้อย่างไร ผมพยายามเล่าผลงานของผม เกี่ยวกับสิ่งที่ผมเคยทำ และสิ่งที่ผมทำได้ดีให้ทอมฟัง และเขาก็รับฟัง ทอมเป็นผู้ฟังที่ดี เขารับฟังเพื่อนร่วมงานทุกคน และเขาเองก็ได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดด้วย”
ความทรงจำในสายสัมพันธ์ของพาวล์กับครูซยังมีอีกมากมาย 1 ในความทรงจำระหว่างเขากับนักแสดงรุ่นพี่ที่เขาประทับใจมากที่สุดก็คือ ตอนที่กำลังถ่ายทำ ‘Top Gun: Maverick’ ครูซขับเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเพื่อพาเขาบินขึ้นจากสตูดิโอไพน์วูด (Pinewood Studios) เหนือน่านฟ้ากรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ในระหว่างนั้น ครูซกลับแกล้งทำเป็นว่าเฮลิคอปเตอร์กำลังจะตกเสียอย่างนั้น
“ตอนนั้นทอมพูดขึ้นว่า ‘โอ้ ไม่นะ ๆ ๆ’ แล้วเขาก็เริ่มบังคับเฮลิคอปเตอร์ทิ้งตัวลงมาเหนือลอนดอน ตอนนั้นผมนี่แบบว่า ‘นี่ผมจะกลายเป็นผู้ชายโนเนมที่ตายอยู่ข้าง ๆ ทอมในเปลวเพลิงใจกลางลอนดอนหรือเปล่าวะเนี่ย'”
มิตรภาพของพาวล์กับนักแสดงซูเปอร์สตาร์ค้างฟ้ายังไม่หมดแค่นั้น เขาเล่าว่า ครูซเคยชักชวนให้เขาไปยังโรงภาพยนตร์ที่ลอสแองเจลิส เพื่อให้เขาเข้าไปชมวิดีโอที่ครูซเรียกว่าเป็น ‘ภาพยนตร์ศึกษา’ ความยาวมากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งเป็นคลิปที่ครูซพูดกับกล้องเพื่อเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เรียนรู้จากการทำหนังตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
“(ในคลิปวิดีโอนั้น) ทอมบอกว่า ‘…เราทุกคนเห็นพ้องต้องกันใช่ไหมว่ากล้องคืออะไร ?’ และนี่แหละคือความแตกต่างระหว่างกล้องฟิล์มกับกล้องดิจิทัล…”
“…ส่วนที่สนุกที่สุดก็คือการบิน เหมือนกับว่าเขาได้รวบรวมโรงเรียนการบินทั้งหมดนี้เข้าไว้ด้วยกัน เขาจะคอยบอกว่า ‘โอเค เครื่องบินมันเป็นแบบนี้ และมันบินด้วยวิธีนี้นะ และนี่คือหลักการของความกดอากาศ…'”
ตอนแรกเขาคิดว่าน่าจะมีคนอื่น ๆ มานั่งดูด้วย แต่กลายเป็นว่าในโรงภาพยนตร์ว่างเปล่านั้น มีเขานั่งดูคลิปภาพยนตร์ศึกษาของครูซอยู่เพียงลำพัง พาวล์ยังเล่าไปถึงคนที่อยากดูคลิปนี้ว่า ครูซไม่ได้มีความตั้งใจจะนำสิ่งนี้ออกเผยแพร่สู่สาธารณะ “เพราะครูซบอกกับผมว่า ‘สิ่งนี้มีไว้สำหรับเพื่อนของผมเท่านั้น'”
พาวล์ยังเล่าสิ่งที่ครูซได้ให้คำแนะนำเล็ก ๆ ที่สำคัญต่ออาชีพนักแสดงของเขาว่า นักแสดงที่จะได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลกนั้น ‘ต้องสื่อสารอารมณ์ที่เป็นสากลออกมา’ และ ‘ต้องเข้าให้ถึงความทุกข์ที่ทุกคนสามารถรู้สึกร่วมกันได้’
ความสัมพันธ์ของนักแสดงรุ่นพี่อย่างครูซ และนักแสดงรุ่นน้องอย่างพาวล์ กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าที่คิด ครูซไม่ใช่เป็นแค่ที่ปรึกษาด้านอาชีพนักแสดงให้กับเขาเพียงอย่างเดียว แต่พาวล์เรียกครูซราวกับเป็นพี่น้องทางจิตวิญญาณ
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเราเป็นพี่น้องกันก็คือ เขาเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับหนังอย่างมากครับ และนั่นก็เป็นเหมือนกับภาษารักของเราในกองถ่าย ผมได้รู้จักกับผู้ชายที่รู้จักทุกคนในทุกแผนก เขาสามารถเชื่อมโยงกับทุกคนได้อย่างราบรื่น เขามีทั้งความเป็นมิตร ให้ความเคารพ และสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ของเขาออกมาให้กับทุกคนได้”